ในปี 2025 นี้ วงการยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และหนึ่งในผู้เล่นที่ยืนอยู่แถวหน้าของการปฏิวัติครั้งนี้คือ Mercedes-Benz ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ผสานความหรูหราเข้ากับสมรรถนะอันทรงพลัง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่แห่งอนาคต หัวใจสำคัญของความก้าวหน้าครั้งนี้คือการมาถึงของ Mercedes-Benz EQG ซึ่งเป็นเวอร์ชันไฟฟ้าเต็มรูปแบบของ “G-Wagon” รถออฟโรดในตำนานที่ทั่วโลกต่างยกย่อง พร้อมกับนวัตกรรมแบตเตอรี่ “Titan Silicon” จากบริษัท Sila ที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
การมาถึงของ Mercedes-Benz EQG ในปี 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันแน่วแน่ของ Mercedes-Benz ในการมุ่งสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน รถรุ่นนี้ไม่เพียงแต่สานต่อตำนานอันแข็งแกร่งและภาพลักษณ์อันโดดเด่นของ G-Wagon แต่ยังนำเสนอขีดความสามารถที่เหนือกว่าด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งมอบแรงบิดมหาศาลตั้งแต่รอบต่ำ อัตราเร่งที่น่าทึ่ง และการขับขี่ที่เงียบสงบ อันเป็นคุณสมบัติเด่นของยานยนต์ไฟฟ้า การแปลงโฉมจากรถออฟโรดเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ระบบไฟฟ้าไม่ได้ทำให้ EQG สูญเสียเสน่ห์หรือสมรรถนะการลุยไปแม้แต่น้อย แต่กลับเสริมความสามารถให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยระบบควบคุมแรงบิดที่แม่นยำยิ่งขึ้นและการกระจายน้ำหนักแบตเตอรี่ที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพ รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz EQG ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียมที่สามารถพาพวกเขาไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะบนเส้นทางปกติหรือเส้นทางออฟโรดสุดท้าทาย พร้อมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น นอกจากนี้ การออกแบบภายในยังคงความหรูหรา ผสานเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลอันล้ำสมัย พร้อมระบบความบันเทิงและข้อมูลที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างราบรื่น ทำให้ EQG เป็นมากกว่ารถยนต์ แต่คือประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตที่ผสานความคลาสสิกเข้ากับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว
หัวใจหลักที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพอันเหนือชั้นของ Mercedes-Benz EQG และยานยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ดาวสามแฉกในยุคปัจจุบัน คือการพึ่งพานวัตกรรมแบตเตอรี่ขั้นสูง และ “Titan Silicon” จาก Sila ก็คือกุญแจสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง ในปี 2025 นี้ Titan Silicon ได้ถูกนำเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในปริมาณมากแล้ว ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญหลังจากทุ่มเทวิจัยและพัฒนามาหลายปี เทคโนโลยีนี้โดดเด่นด้วยการใช้สารประกอบซิลิคอนแอโนด (Silicon Anodes) ซึ่งสามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากกว่าแอโนดกราไฟต์แบบดั้งเดิมถึง 10 เท่าในปริมาตรที่เท่ากัน สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณสมบัติที่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าปรารถนา: ความหนาแน่นพลังงานที่สูงขึ้น การชาร์จที่เร็วขึ้น และระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้น
ผลจากการทดสอบและการใช้งานจริงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด (เช่น WHOOP 4.0) ได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของ Titan Silicon โดย Sila เคลมว่าแบตเตอรี่ที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มระยะทางขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกอย่างน้อย 20% จากรุ่นปัจจุบัน หรือเพิ่มระยะทางได้ถึง 100 ไมล์ในรถยนต์บางรุ่น นั่นหมายความว่าผู้ขับขี่จะสามารถเดินทางได้ไกลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลดความกังวลเรื่องระยะทาง (range anxiety) นอกจากนี้ ประสิทธิภาพในการชาร์จยังก้าวล้ำไปอีกขั้น Titan Silicon สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาไม่เกิน 20 นาที ซึ่งเป็นความเร็วที่เทียบเท่ากับการเติมน้ำมันในอดีต ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าสะดวกสบายยิ่งขึ้นและใช้เวลาหยุดพักน้อยลงอย่างมาก
นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านโครงสร้างและน้ำหนักของยานยนต์ แบตเตอรี่ Titan Silicon มีน้ำหนักเบากว่าแบตเตอรี่กราไฟต์ถึง 15% และใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยลงถึง 20% สิ่งนี้ช่วยให้นักออกแบบรถยนต์มีอิสระมากขึ้นในการสร้างสรรค์พื้นที่ภายในห้องโดยสาร และยังช่วยลดน้ำหนักรวมของรถ ซึ่งส่งผลดีต่อสมรรถนะการขับขี่ ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และความคล่องตัว นอกจากนี้ กระบวนการผลิต Titan Silicon ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้อยกว่าการผลิตแบตเตอรี่กราไฟต์ถึง 50-75% ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของทั้ง Sila และ Mercedes-Benz ในการสร้างสรรค์อนาคตยานยนต์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง การที่ Mercedes-Benz ได้ลงทุนใน Sila มาตั้งแต่ปี 2019 และมีการลงนามข้อตกลงเพื่อนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าของตน โดยมี EQG เป็นหนึ่งในรุ่นแรกๆ ที่จะได้รับอานิสงส์ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์
ความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ในการขับเคลื่อนสู่อนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ก้าวล้ำ แต่ยังครอบคลุมถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ระยะยาวในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ภายใต้เป้าหมายอันชัดเจนที่จะยุติการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในตั้งแต่ปี 2039 ซึ่งในปัจจุบันปี 2025 นี้ แผนการดังกล่าวได้เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง การประกาศนี้ไม่ใช่เพียงคำมั่นสัญญา แต่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงผ่านการลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา การขยายสายผลิตภัณฑ์ EQ และการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz ได้ทยอยเปิดตัวรถยนต์ในตระกูล EQ ที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นรถซีดานหรูอย่าง EQS และ EQE, รถ SUV อเนกประสงค์อย่าง EQC และ EQB, ไปจนถึง EQG ที่กำลังจะพลิกโฉมวงการออฟโรดไฟฟ้า ยานยนต์เหล่านี้ล้วนติดตั้งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% หรือในบางรุ่นเป็น Plug-in Hybrid ที่มอบทางเลือกให้กับผู้บริโภคในการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ไฟฟ้า พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 ยอดขายจากรถยนต์พลังงานสะอาดจะต้องมีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเครื่องยนต์ แต่เป็นการออกแบบรถยนต์ตั้งแต่ต้นให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดทั้งด้านสมรรถนะ ระยะทาง และความยั่งยืน
นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแล้ว Mercedes-Benz ยังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต โดยโรงงานผลิตในยุโรปหลายแห่งได้ทยอยเปลี่ยนมาใช้พลังงานลมและพลังงานสะอาดอื่นๆ เพื่อให้เป็นโรงงานที่ปลอดการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายในปี 2025 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายระยะกลางที่สำคัญ นี่ไม่ใช่แค่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการใช้งานรถยนต์ ความท้าทายในกลยุทธ์นี้คือการรักษาสมดุลระหว่างการนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อโลก ความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ ประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ และราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่ง Mercedes-Benz กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริงผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง
เมื่อพูดถึง Mercedes-Benz ย่อมไม่อาจมองข้ามแบรนด์ “AMG” ที่เป็นสัญลักษณ์ของสมรรถนะและความเร้าใจสูงสุด การก้าวเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่จุดจบของ AMG แต่เป็นการเปิดศักราชใหม่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่า ในปี 2025 นี้ เราได้เห็น AMG พลิกโฉมตัวเองด้วยการนำเทคโนโลยีไฟฟ้ามาผสานเข้ากับปรัชญา “One Man, One Engine” สร้างสรรค์ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยแรงบิดที่มาทันทีและอัตราเร่งที่รุนแรงของมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ AMG สามารถส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม แรงบิดสูงสุดที่แทบจะเกิดขึ้นทันทีที่กดคันเร่ง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า AMG มีความรู้สึก “ดิบ” และ “เร้าใจ” ในแบบที่เครื่องยนต์สันดาปไม่อาจเทียบได้ นอกจากนี้ ระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะและการระบายความร้อนที่ซับซ้อน ช่วยให้แบตเตอรี่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายใต้สภาวะการขับขี่ที่ดุดัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการคาดการณ์ถึง Mercedes-Benz EQG ในเวอร์ชัน AMG ซึ่งจะเป็นการผสมผสานความแข็งแกร่งของ G-Wagon เข้ากับพละกำลังไฟฟ้าอันมหาศาลของ AMG เพื่อสร้างรถออฟโรดสมรรถนะสูงที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนสนามแข่งหรือการตะลุยทางออฟโรดสุดหฤโหด EQG AMG จะเป็นบทพิสูจน์ว่าพลังงานไฟฟ้าสามารถมอบความเร้าใจและขีดจำกัดที่เหนือกว่าได้อย่างไร นอกจากนี้ AMG ยังคงให้ความสำคัญกับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ แม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาระบบ “AMG Sound Experience” ที่สร้างเสียงสังเคราะห์ที่น่าตื่นเต้นและเร้าอารมณ์ เพื่อคงไว้ซึ่งอารมณ์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของ AMG โดยรวมแล้ว AMG กำลังแสดงให้เห็นว่ายุคไฟฟ้าคือโอกาสในการยกระดับสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ให้ก้าวไปสู่มิติใหม่ และยังคงรักษา DNA แห่งความเร็วและพลังเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบในโลกของยานยนต์ไฟฟ้า
ความเป็นเลิศของ Mercedes-Benz ไม่ได้หยุดอยู่แค่ด้านเทคโนโลยีและสมรรถนะ แต่ยังรวมถึงการนำเสนอประสบการณ์ “รถยนต์ไฟฟ้าหรู” ที่เหนือระดับในทุกรายละเอียด การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Benz ได้รับการถ่ายทอดมาสู่รถยนต์ในตระกูล EQ อย่างเต็มเปี่ยม ผสานเข้ากับนวัตกรรมดิจิทัลที่ทำให้การใช้งานรถยนต์ง่ายดายและชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น ในปี 2025 นี้ ระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของผู้ขับขี่อย่างชาญฉลาด การสั่งการด้วยเสียงที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบาย นอกจากนี้ หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแผงหน้าปัด Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว มอบข้อมูลที่ครบถ้วนและคมชัด พร้อมกราฟิกที่สวยงามและปรับแต่งได้ตามความต้องการ
การออกแบบภายในยังคงเน้นความประณีต ความกว้างขวาง และการใช้วัสดุคุณภาพสูง เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุด ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร (Premium ambient lighting) ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ถึง 64 สี ช่วยสร้างอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละการเดินทาง เบาะนั่งที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์พร้อมฟังก์ชันการปรับที่หลากหลาย และการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ อย่างลงตัว ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของผู้โดยสาร แม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz ก็ยังคงความเป็นผู้นำในตลาด “Luxury SUV” ด้วยรุ่นต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันได้ผสานความหรูหราเข้ากับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ในกลุ่มคอมแพคท์อย่าง A-Class ที่มีขุมพลังไฟฟ้าที่น่าประทับใจ หรือรถยนต์สปอร์ตคูเป้ดีไซน์งดงามอย่าง CLS ที่ได้รับการปรับโฉมให้เข้ากับยุคสมัย รวมถึงรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลางอย่าง GLC ที่ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในตลาด “Luxury SUV” ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของ Mercedes-Benz ในการส่งมอบความหรูหราที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย พร้อมกับเทคโนโลยีและสมรรถนะการขับขี่อันเหนือชั้น
เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ Mercedes-Benz ยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เพื่อสนับสนุนลูกค้าตลอดเส้นทาง ตั้งแต่การเลือกซื้อไปจนถึงบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม ในปี 2025 นี้ เครือข่ายผู้จำหน่ายของ Mercedes-Benz ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ได้รับการยกระดับเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ศูนย์บริการหลายแห่งได้รับการลงทุนอย่างมหาศาลในการฝึกอบรมช่างเทคนิคให้มีความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ การติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยสำหรับการซ่อมบำรุงและดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าที่สะดวกสบายและรวดเร็วภายในศูนย์บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ครบวงจรและไร้กังวล
นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังคงเน้นย้ำถึงการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า (Customer Satisfaction Index – CSI) โดยไม่เพียงแค่การขายรถยนต์ แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าผ่านบริการหลังการขายที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ การนำเสนอช่องทางดิจิทัลที่หลากหลายสำหรับการเลือกชมรถยนต์ การนัดหมายบริการ และการสื่อสารกับพนักงานขายและศูนย์บริการ ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น พร้อมกับบริการเสริมต่างๆ เช่น การนำรถยนต์ไปให้ลูกค้าทดลองขับถึงบ้าน หรือบริการรับรถจากบ้านของลูกค้าเพื่อนำเข้าซ่อมบำรุงตามระยะทาง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของ Mercedes-Benz ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่แค่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบและน่าประทับใจให้กับลูกค้าในทุกมิติ
โดยสรุป ในปี 2025 นี้ Mercedes-Benz ได้ยืนยันสถานะของตนในฐานะผู้นำแห่งอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมั่นคง ด้วยการเปิดตัว Mercedes-Benz EQG ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการผสานรวมระหว่างตำนานอันยิ่งใหญ่กับนวัตกรรมแห่งอนาคต เทคโนโลยีแบตเตอรี่ Titan Silicon จาก Sila คือพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าของ Mercedes-Benz ก้าวข้ามขีดจำกัดด้านระยะทาง การชาร์จ และน้ำหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2039 พร้อมกับการลดการปล่อยคาร์บอนในทุกกระบวนการผลิต ได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อโลกและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การผนวกรวมสมรรถนะอันเร้าใจของ AMG เข้ากับพลังงานไฟฟ้า ความหรูหราอันเป็นเอกลักษณ์ และการสร้างระบบนิเวศการบริการที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้นำในตลาด “ยานยนต์ไฟฟ้าหรู” ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านเทคโนโลยี สมรรถนะ ความยั่งยืน และความพึงพอใจในการขับขี่ ด้วยนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง Mercedes-Benz พร้อมที่จะพาเราทุกคนไปสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง

