Hiroshi Kajiyama ผู้จัดการโปรแกรมของ Mazda 6 โฉมใหม่ เปิดเผยว่า “ในขั้นตอนพัฒนา Mazda 6 เจเนเรชั่นที่ 3
เราได้ใส่คุณค่าความเป็น Mazda ลงไป นั่นคือ “ความโปรดปรานในการขับขี่” เราอยากจะสร้างรถที่ตอบสนองและปฏิบัติ
ตัวตามที่คุณต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งของรถ ราวกับว่ารถยนต์เป็นอวัยวะหนึ่งของผู้ขับขี่”
นอกจากนี้เขายังได้อธิบายถึงบุคลิคของ Mazda 6 โฉมใหม่ว่า “ตัวรถมีการออกแบบที่โดดเด่นจะแสดงออกถึงอำนาจและ
ความคล่องตัวขณะเคลื่อนไหว และยังมีนวัตกรรมต้นแบบผนวกกับความสบายและความสนุกสนานในการขับขี่ ทีมวิศวกร
Mazda ระดับสุดยอดจะช่วยรังสรรค์ให้รถมีการขับขี่ที่ตอบสนองผู้ขับขี่โดยตรง มากกว่าที่จะสร้างความเด่นชัดในทาง
กายภาพ เช่น พวงมาลัย, การเบรคและอัตราเร่ง Mazda 6 โฉมใหม่จึงเป็นรถที่จะสร้างความสุขในการขับขี่สำหรับคนที่
คาดหวังจากรถ Mazda พวกเขารอไม่ไหวที่จะได้เห็นลูกค้ายิ้มหลังจากรับรถ Mazda 6 รุ่นใหม่เป็นครั้งแรก”

งานออกแบบ Mazda 6 เจเนเรชั่นใหม่ได้รับอิทธิพลจากรถต้นแบบ Takeri Concept ซึ่งเป็นรถซีดานใหญ่ที่เคยอวดโฉม
ในงาน Tokyo Motorshow 2011 โดยรวมตัวรถจะต้องเตี้ย, เน้นความกว้างเพื่อให้ดูแข็งแกร่งและแลดูมันคง และ
สามารถสร้างความประทับใจน่าตื่นเต้นโดยไม่ลดความน่าดึงดูดใจและความงามระดับสากล
Akira Tamatani หัวหน้าผู้รับผิดชอบการออกแบบ Mazda 6 เจเนเรชั่นใหม่ กล่าวว่า “เราได้ออกแบบให้มีความ
กระตือรือร้นและปราดเปรียวสามารถแสดงออกถึงความมีประสิทธิภาพ เพียงแค่ลูกค้ามองไปที่รถลูกค้าก็สามารถคาดหวัง
ตัวรถได้”
ด้านหน้าออกแบบกระจังหน้าคล้ายปีกนกแบบใหม่ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ Mazda มีมิติความลึกตื้น ฝากระโปรง
หน้าก็ออกแบบให้มีสันรับกับกระจังหน้าแบบใหม่ เส้นสายด้านข้างมีความหรูหรา ซุ้มโป่งล้อหน้าโค้งลากยาวจนเป็นเส้น
ด้านข้างรถ บั้นท้ายมีสัดส่วนสวยงามลงตัว และสีที่ Mazda ใช้ในการเปิดตัวคือสี Soul Red

ภายในห้องโดยสารจะถูกออกแบบให้เน้นความสำคัญของผู้ขับขี่เป็นหลัก แผงมาตรวัด 3 วงมีความสูงไม่เกินขอบฝา
กระโปรงหน้าทำให้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ พื้นที่ฝั่งผู้โดยสารให้รู้สึกเหมือนเปิดกว้างและปลอดภัย นั่นเป็นเพราะการจัดวางห้อง
โดยสารเป็นแบบแนวกว้าง นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยวัสดุนุ่มในจุดที่ทุกคนสัมผัสบ่อย ๆ และยังมีชุดสีตกแต่งให้เลือก 2
แบบคือ ‘Bordeaux metal’ และ ‘Dark metal’
Mazda 6 โฉมใหม่มีความประณีตในการสร้างเป็นอย่างมากเพื่อให้สมกับเป็นรถที่ทุกคนโปรดปรานในด้านการขับขี่ ไม่ว่า
จะเป็นงานออกแบบ, งานวิศวกรรม, การใช้วัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้จะต้องทำให้ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกถึง
ความเป็นหนึ่งเดียวของรถคันนี้ให้ได้ด้วย
โครงสร้างตัวถังและช่วงล่างใช้วัสดุเหล็กกล้าทนทานต่อการบิดตัวสูงภายใต้เทคโนโลยี SKYACTIV จะช่วยเพิ่มความ
คล่องตัวขณะวิ่งความเร็วถึงปานกลาง แต่จะเพิ่มความมั่นใจขณะวิ่งความเร็วสูง, พวงมาลัยไฟฟ้าถูกปรับแต่งออกมาให้
เฉียบคม, ปรับแต่งตัวรถให้ถูกต้องตามหลักสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจนมีค่า CD ที่ 0.26
สำหรับเมืองไทยยังไม่มีแผนในการทำตลาดตอนนี้
McLaren

McLaren P1 Concept ดีไซน์ถือว่าแปลกตากว่าที่ผ่าน ๆ มา เป็นรถที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและจิต
วิญญาณจากแผนกพัฒนารถแข่งเต็มเปี่ยม จุดมุ่งหมายในการพัฒนา P1 มีเพียงข้อเดียวนั่นคือการก้าวเป็นรถที่มีการขับขี่
ดีที่สุดในโลกทั้งทางถนนและทางสนาม
Chairman Ron Dennis ผู้บริหาร McLaren Automotive กล่าวว่า McLaren P1 เป็นรถที่เกิดจากการตกผลึก
ประวัติศาสตร์การแข่งรถและทำรถยนต์สำหรับท้องถนนตลอดเวลา 50 ปี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว McLaren เคยแนะนำ F1 ให้
เป็นซูเปอร์คาร์ด้านสมรรถนะมาแล้ว และครั้งนี้ P1 ก็จะสืบสานตำนานนั้นอีกครั้ง


จุดมุ่งหมายของ McLaren ไม่ได้ตั้งทำใจทำรถให้เร็วที่สุดด้วยการทำตัวเลขความเร็วสูงสุดให้มาก ๆ แต่มันจะออกตัวเร็ว
และคุ้มค่าที่สุดเมื่อวิ่งบนสนามแข่ง P1 จะเป็นรถที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด, มีความสามารถมากที่สุด, มีเทคโนโลยีล้ำหน้ามาก
ที่สุด, และเป็นรถซูเปอร์คาร์ทรงสมรรถนะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
เศรษฐีทุกท่านสามารถรอคอย McLaren P1 เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงในช่วงปลายปี 2013 โดยวางตำแหน่งเหนือกว่า
12C และ 12C Spider ทั้งราคาและสมรรถนะ
Mercedes-Benz

ปีนี้ขนรถต้นแบบ Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept เพื่อมาต่อกรกับ BMW Concept Active
Tourer โดยเฉพาะ B-Class Electric Drive concept จะเป็นรถที่นำเอาความสะดวกสบายและความสนุกสนาน
ในการขับขี่มาสู่ผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสะดวกในการใช้ในชีวิตประจำวัน โดยรูปลักษณ์ภายนอก
จะเหมือนกับ B-Class รุ่นปัจจุบันทุกประการ เพียงแต่มีการเพิ่ม ‘Energy Space’ หรือพื้นที่สำหรับติดตั้ง
แบตเตอรี่ Li-ion บริเวณพื้นตัวถังของรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept มาพร้อมกับกำลัง 136 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร เมื่อใช้งานรวมกับแบตเตอรี่ของตัวรถ จะทำให้เดินทางได้ 200 กม.จากการ
ชาร์จเต็มเพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถชาร์จไฟบ้านเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ ทั้งแบบ 230V และ 400V

นอกจากการรุกตลาดรถไฟฟ้าด้วย Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept แล้ว เบนซ์ยังพร้อมเปิด
ตัวเวอร์ชันขายจริงของ SLS AMG Electric Drive และ Smart Brabus electric drive ในงาน 2012 Paris
Motor Show นี้อีกด้วยจะนำเอาความสะดวกสบายและความ
สนุกสนานในการขับขี่มาสู่ผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสะดวกในการใช้ในชีวิตประจำวัน โดยรูปลักษณ์ภายนอก
จะเหมือนกับ B-Class รุ่นปัจจุบันทุกประการ เพียงแต่มีการเพิ่ม ‘Energy Space’ หรือพื้นที่สำหรับติดตั้ง
แบตเตอรี่ Li-ion บริเวณพื้นตัวถังของรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน Mercedes-Benz B-Class Electric Drive concept มาพร้อมกับกำลัง 136 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร เมื่อใช้งานรวมกับแบตเตอรี่ของตัวรถ จะทำให้เดินทางได้ 200 กม.จากการ
ชาร์จเต็มเพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถชาร์จไฟบ้านเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ ทั้งแบบ 230V และ 400V
Mini

Mini Paceman ถือเป็นรถแนว Sports Activity Coupe : SAC รถครอสโอเวอร์คูเป้ที่ให้ความรู้สึกแบบรถโกคาร์ท
เล็ก ๆ ถือเป็นรถยนต์ Mini ตัวถังลำดับที่ 7 ด้านหน้ามีดีไซน์คล้ายกับ Mini Countryman ทรงกันชนหน้าจะแลดูคล้าย
กับรถต้นแบบ Mini Paceman Concept พอสมควร
จุดเด่นด้านการออกแบบนอกเหนือจากความเป็นรถครอสโอเวอร์คูเป้ 3 ประตูแล้ว สิ่งที่แตกต่างจาก Mini Countryman
อย่างเห็นได้ชัดคือการออกแบบแนวหลังคาที่ลาดเทลงเพื่อเพิ่มความสปอร์ตและการออกแบบโครงตัวถังเหนือซุ้มหลังนูนโค้งราวกับกล้ามเนื้อมนุษย์
ส่วนดีไซน์บั้นท้ายแทบไม่แตกต่างจาก Mini Paceman Concept เลยแม้แต่น้อย (ยกเว้นแถบทับทิมสะท้อนแสงสีแดงมุมกันชนหลัง)
ดีไซน์ภายในห้องโดยสารก็เดาทางกันไม่ยากเลยว่ามันจะต้องยกชุดชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารจาก Mini Countryman
มากกว่า 70% โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ฟีเจอร์ Central-Rail หรือรางเลื่อนตรงกลางห้องโดยสารอเนกประสงค์สามารถ
ติดตั้งกล่องเก็บของ, กล่องเก็บแว่นตา หรือช่องวางขวดน้ำบนรางนี้ได้ เบาะคู่หน้าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเบาะหลังเพื่อให้
เห็นพื้นถนนสะดวกขึ้น ห้องสัมภาระด้านหลังมีเนื้อที่มากถึง 330 ลิตรเมื่อพับเบาะแล้วจะขยายเนื้อที่ถึง 1,080 ลิตร

ขุมพลังมีให้เลือกดังต่อไปนี้ Mini Cooper Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อ
นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.4 วินาทีใน
เกียร์ธรรมดา 11.5 วินาทีในเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 192 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 184 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 6.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 7.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 143 กรัมในรุ่นเกียร์ธรรมดา 166 กรัมในรุ่น
เกียร์อัตโนมัติ
Mini Cooper S Paceman จะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบทวินสกรอลและเทคโนโลยี Valvetronic อัพกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็น
184 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,600 – 5,000 รอบต่อนาที หากยังไม่
สะใจก็มีฟังก์ชัน Overboost เพิ่มแรงบิดเป็น 260 นิวตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,700-4,500 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.5 วินาทีในรุ่นเกียร์ธรรมดา 7.8 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 217
กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 212 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตาม
มาตรฐานยุโรป 6.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 เพียงแค่ 143 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา 166 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
Mini Cooper D Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร 112 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน
เมตรที่รอบระหว่าง 1,750-2,250 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.8 วินาทีในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 11.2 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 187 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 182 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 4.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 115 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
149 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ

Mini Cooper SD Paceman ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 143 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 305 นิว
ตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,750-2,700 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.2 วินาทีในรุ่นเกียร์
ธรรมดา 9.4 วินาทีในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่นเกียร์ธรรมดา 197 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานยุโรป 4.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
5.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 122 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา
150 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
ทุกรุ่นสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 เป็นออพชั่นเสริมพิเศษได้
Mitsubishi

Mirage จากประเทศไทยก็ไปอวดโฉมกับเขาด้วยในงานนี้ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับที่วางจำหน่ายในตลาดไทยทุกประการ
ยกเว้นลายล้ออัลลอย ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 70 แรงม้าและ 1.2 ลิตร 79 แรงม้า ชูจุดขายความคุ้มค่าตัวรถที่หาไม่ได้จากรถ Low Cost Brand
, ประหยัดน้ำมันเป็นยอด, ปล่อยมลพิษต่ำและมีค่าบำรุงรักษาต่ำ ลูกค้าชาวยุโรปสามารถเป็นเจ้าของ Mirage ได้ในช่วงต้นปี 2013

Mitsubishi Outlander PHEV เป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid ที่ผสานสิ่งที่ดีที่สุดของโลก 3 ประการเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่
ประสิทธิภาพในการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบรถEV, มีระยะทางวิ่งสูงสุดเหมือนกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและ
รองรับสมรรถนะทางเรียบหรือออฟโรดได้
Mitsubishi Outlander PHEV จะหยิบยืมอุปกรณ์ขับเคลื่อนไฟฟ้าจากรุ่น i-MIEV มาผนวกกับเครื่องยนต์สันดาป
ภายใน เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนแต่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้นสำหรับโลกปัจจุบัน ส่งผลให้มีความประหยัด
น้ำมันสูงถึง 61 กิโลเมตรต่อลิตรในโหมด JC08, มีพละกำลังเหมือนรถเครื่องธรรมดาและมีระยะทางวิ่งสูงสุดรวมมากถึง
880 กิโลเมตร
หลักการทำงานคร่าว ๆ ระบบจะเลือกสรรการขับเคลื่อน 3 โหมดโดยอัตโนมัติเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานและประหยัด
น้ำมันสูงสุด
โหมด EV จะขับเคลื่อนโดยใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้านหน้าและด้านหลัง ลดการปล่อยมลภาวะและมีแต่ความ
เงียบขณะขับเคลื่อน
โหมด Series Hybrid ระบบจะส่งกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบจะตัดเข้าสู่โหมดการขับเคลื่อนนี้ก็ต่อเมื่อ
ประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ลดต่ำตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือผู้ขับขี่ต้องการพละกำลังที่มากกว่าสำหรับเร่งแซงหรือต้องเร่งเครื่อง
เพื่อขึ้นทางชัน เป็นต้น

โหมด Pararell Hybrid เน้นการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์เป็นหลักโดยมีมอเตอร์ช่วยบ้างในบางเวลา โหมดนี้จะทำงาน
อัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงคงที่ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้รีดประสิทธิภาพความประหยัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ดี
ที่สุด
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนมีอัตราการกินไฟ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 55 กิโลเมตรตาม
มาตรฐานการทดสอบ JC08 ผู้ใช้สามารถเลือกขับเคลื่อนโหมด EV ได้ตามต้องการ ระบบจะตรวจสอบพลังงานใน
แบตเตอรี่ หากไม่เพียงพอก็จะสั่งงานให้เครื่องยนต์สันดาปภายในปั่นกำลังลงสู่แบตเตอรี่
การติดตั้งมอเตอร์ 2 ตัวไว้สำหรับส่งกำลังเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลังก็จะทำให้ลดการสูญเสียกำลังไปได้มาก ตอบสนองได้
ดั่งใจกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานควบคู่กับระบบขับเคลื่อน S-AWD
Mitsubishi Outlander PHEV เตรียมวางจำหน่ายในญี่ปุ่นต้นปี 2013 หลังจากนั้นจะจำหน่ายในตลาดยุโรป, อเมริกา
เหนือ และที่อื่นทั่วโลกตามลำดับ
Nissan

Nissan ส่งรถต้นแบบ SUV ล้ำยุคในชื่อ TeRRA Concept เพื่อส่งสัญญาณถึงการออกแบบเอสยูวีรุ่นใหม่
แนวคิดของงานออกแบบ Nissan TeRRA Concept มุ่งไปยังการตอบโจทย์ให้ตรงกับคนรุ่นใหม่ในยุโรปตอนเหนือ
โดยมีกลิ่นอายเส้นสายจาก Nissan Juke ที่แหวกแนวและสร้างความฮือฮามาใส่ลงบนรถต้นแบบคันนี้ เช่นดวงไฟสปอต-
ไลท์ขนาดเขื่อง พร้อมแนวหลังคาเตี้ย รูปลักษณ์ด้านข้างหนาบึกบึน พร้อมซุ้มล้อหน้าและหลังที่ใช้เส้นสายเหลี่ยมสัน
ให้ความโฉบเฉี่ยว แต่ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของนิสสันยุคใหม่ ด้วยเส้นสายทรงตัว V ในด้านหน้าพร้อมไฟหน้าและไฟท้าย
ทรงบูมเมอแรง

รูปลักษณ์ภายใน ถูกตกแต่งด้วยการผสมผสานระหว่างไม้แกะสลักและอะคริลิค ช่วยเติมความรู้สึกของธรรมชาติในสไตล์
ล้ำยุค และมาพร้อมแนวคิดแหวกใหม่ ด้วยการใช้มาตรวัดจากแท็บเล็ต ที่เมื่อไม่ใช่งานรถยนต์คันนี้ สามารถถอดแท็บเล็ต
ออกเพื่อนำไปใช้งานต่อได้

ด้านขุมพลังของ TeRRA Concept มาพร้อมแนวคิดใหม่เพื่อให้สมกับ SUV ที่ต้องขับเคลื่อนสี่ล้อและต้องการแรงบิด
จำนวนมาก ด้วยการใส่มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ยกชุดมาจาก Nissan LEAF ในล้อคู่หน้า ในขณะที่ล้อคู่หลังจะได้
รับแรงขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งชุด โดยมีเครื่องยนต์พลังงานไฮโดรเจนขนาดเล็กช่วยทำงานเพื่อปั่นไฟฟ้า
ป้อนเข้าแบตเตอรี่ในกรณีที่แบตเตอรี่มีกำลังอ่อน
รถต้นแบบคันนี้อาจจะพอใบ้งานออกแบบบางส่วนของ Nissan Murano เจเนเรชั่นต่อไปได้บ้างครับ
Opel

Opel นำรถ A-Segment แห่งความหวังรุ่น Adam มาจัดแสดงภายในงานนี้เต็มพิกัดเพื่อกระตุ้นตลาดก่อนที่จะวางจำหน่ายในช่วงปี 2013
ซึ่ง Opel คาดหวังว่า Adam จะเป็นรถเล็กแนวแฟชั่นที่จะมาช่วยกอบกู้ยอดขายและผลกำไรของ Opel ให้ดีขึ้นบ้าง เพราะทาง Opel เอง
ก็ให้ความสำคัญกับ Adam อย่างมากจนกล้ายกระดับรถของตัวเองให้ท้าชนกับ Fiat 500 ที่เป็นรถเล็กระดับพรีเมี่ยมโดยตรง
ก็แน่นอนว่าราคาจำหน่ายคงไม่ถูกอย่างที่คิด
Opel Adam จัดเป็นรถเล็กแฟชั่นที่มีบุคลิคใหม่ ทันสมัย, ขนาดกะทัดรัดใช้ในเมือง มีดีไซน์ที่กล้าหาญ มีพลังผนวกกับ
การผสานความเป็นตัวเอง บรรจุเทคโนโลยีจากรถรุ่นใหญ่มาย่อส่วนลงในรถเล็ก เช่น หน้าจอแสดงผลเกี่ยวกับตัวรถและ
การผนวกฟีเจอร์เข้ากับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android/iOS และการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตภายในรถ

มิติตัวถังก็ใหญ่เกินหน้า A-Segment ทั่วไปด้วยความยาวตัวถัง 3.7 เมตร ความกว้างตัวถัง 1.72 เมตรรวมกระจกมอง
ข้างมีฐานล้อยาว 2,311 มม. สามารถบรรจุผู้โดยสารและผู้ขับขี่ผู้ใหญ่ 4 คนพอดี ตัวรถมีบุคลิคความสปอร์ตและหรูหรา
เต็มที่เพื่อตอบรับลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ส่วนตัวสูง
Karl-Friedrich Stracke ซีอีโอ Opel กล่าวว่า พวกเขามีความภาคภูมิใจมากที่นำเสนอ Opel Adam รถยนต์ที่มี
ความสำคัญต่อการเจริญเติบโตแบรนด์ Opel รถ Opel Adam จะเป็นขนาดเล็กแบบแฟชั่นภายใต้งานวิศวกรรมแบบ
ฉบับเยอรมัน

Opel Adam จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3 ขนาด ได้แก่ 1.2 ลิตร 70 แรงม้า, 1.4 ลิตร 87 แรงม้าและ 1.4 ลิตร 100
แรงม้าจับคู่เกียร์ธรรมดา ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบ Auto Stop-Start และอีกไม่นานจะนำเสนอเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิง
ตรง เทอร์โบชาร์จจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะใหม่
Opel มีตัวเลือกการตกแต่งตัวรถทั้งภายนอกและภายในมี 3 บุคลิคได้แก่ JAM สีสันฉูดฉาด ดูแฟชั่นนำสมัย, GLAM เน้น
ความหรูหรา และ SLAM เน้นความสปอร์ตคล่องแคล่ว ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นตรงที่การติดตั้งหลอดไฟ LED บน
เพดานห้องโดยสารสร้างบรรยากาศเสมือนนอนอยู่นอกบ้าน และติดตั้งฟีเจอร์ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน

ออพชั่นใหม่ที่ติดตั้งครั้งแรกในรถ A-Segment คือระบบช่วยจอด Advanced Park Assist (APA II) เจเนเรชั่นใหม่ ผู้ขับขี่
ควบคุมเพียงแค่คลัทช์, เบรคและคันเร่งเท่านั้น ที่เหลือให้ระบบช่วยจอดทำงานแทน และยังมีระบบตรวจจับจุดบอดด้วยโซ
นาร์ และยังไม่พอ Opel Adam ยังติดตั้งพวงมาลัยแบบอุ่นมือได้ด้วย
เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ Opel Adam ติดตั้งระบบ ESP ในทุกรุ่นย่อยและระบบ Hill Start Assist
โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งทนทาน, ติดตั้งถุงลมนิรภัยคูหน้า/ด้านข้าง/ถุงลมม่าน, เข็มขัดนิรภัยหน้าดึงกลับอัตโนมัติ, มีจุด
ยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
Opel Adam จะช่วยทำให้ Opel ประสบความสำเร็จในการทำกำไรหรือไม่คงต้องติดตาม (ถ้าจะให้ดี Opel ควรจะออกรุ่น
Eve มาตีคู่กันก็น่าจะดีไม่น้อยเลย)

