ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Mercedes-Benz ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดรถหรูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อเสียงอันยาวนาน แต่มาจากการวางรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำเสนอนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง และความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้า การเดินทางของ Mercedes-Benz ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้ขับขี่และความท้าทายของยุคสมัยได้อย่างไร้ที่ติ
เมื่อศิลปะหลอมรวมกับยานยนต์: ตำนาน G-Class x Off-White ที่ยังคงตราตรึง
ย้อนกลับไปในปี 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นได้ตื่นตะลึงกับโปรเจกต์ “Geländewagen” ที่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอแห่ง Off-White และ Artistic Director ของ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของ Mercedes-Benz นี่ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างรถยนต์ แต่เป็นการสร้างสรรค์ “งานศิลปะในรูปแบบรถยนต์” ซึ่งถูกประมูลผ่าน Sotheby’s เพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับโลก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ ผมมองว่าโปรเจกต์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการสร้างแบรนด์ มันตอกย้ำว่า Mercedes-Benz ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้กำหนดเทรนด์และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย ตัว G-Class ซึ่งมีพื้นฐานเป็นรถออฟโรด 4×4 ถูกแปลงโฉมให้หลุดจากกรอบเดิมๆ กลายเป็น “Race Car” ด้วยการปรับให้กว้างและต่ำลงอย่างมาก พร้อมล้อและยางขนาดเกินจริงที่สร้างความฉูดฉาด การนำพวงมาลัยจาก Project 1 (รถ Formula 1) และเบาะจาก DTM Car มาใช้ รวมถึงชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู สะท้อนถึงการผสมผสานความแรงในสนามแข่งเข้ากับความหรูหราแบบไฮแฟชั่นได้อย่างลงตัว การประมูลที่ Sotheby’s และโอกาสพิเศษในการเข้าถึงผู้ร่วมสร้างสรรค์ทั้งสองคน ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ Mercedes-Benz ก้าวข้ามขีดจำกัดของวงการยานยนต์ไปสู่มิติของงานศิลปะและวัฒนธรรม ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในปี 2025 ยังคงมีความเป็น Iconic และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับวงการ ดีไซน์รถยนต์ อย่างต่อเนื่อง
สมรภูมิ SUV Coupe: การพลิกเกมของ GLE Coupe
ตลาด เอสยูวีหรู ในประเทศไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซกเมนต์ SUV Coupe ที่ Mercedes-Benz GLE Coupe 2020 ได้เปิดตัวตามหลังคู่แข่งสำคัญอย่าง All-new BMW X6 2020 แต่การมาถึงของ GLE Coupe ไม่ได้เป็นเพียงการตามรอย แต่เป็นการพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด การที่ GLE Coupe ในตอนนั้นได้รับการออกแบบให้สปอร์ตกว่า GLE ปกติ ด้วยแนวหลังคาที่ลาดเอียงและมุมมองด้านหลังที่หรูหรามากขึ้น บ่งบอกถึงความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าที่มองหารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภายในห้องโดยสารของ GLE Coupe ได้สะท้อนแนวคิดการออกแบบยุคใหม่ของ Mercedes-Benz ที่เน้นความล้ำสมัยและบรรยากาศคล้าย “ห้องบัญชาการ” ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วสองจอคู่ และคอนโซลกลางที่หวือหวา พร้อมไฟ Ambient Light ที่ปรับเฉดสีได้หลากหลาย ผสานกับระบบ MBUX เวอร์ชั่นล่าสุดที่ชาญฉลาด สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติของผู้ใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติ นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ฟีเจอร์ที่ทันสมัยสำหรับปี 2020 แต่ยังคงเป็นแกนหลักของ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ยกระดับ ประสบการณ์ขับขี่ และยังคงเป็นมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2025 การจัดวางที่โปร่งโล่งแต่กระชับ ให้ความรู้สึกสปอร์ตและหรูหราไปพร้อมกัน สะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบที่คิดมาอย่างละเอียดอ่อน และแม้ว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ เช่น GLE Coupe 350 d 4MATIC และ 400 d 4MATIC จะถูกนำเสนอสำหรับตลาดยุโรปในตอนนั้น แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของขุมพลังที่แบรนด์มี โดยในปัจจุบันปี 2025 โมเดลเหล่านี้ก็ยังคงได้รับการยอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งและความประหยัด
รากฐานแห่งความสำเร็จ: วิสัยทัศน์ของ Mercedes-Benz ประเทศไทย
ผลประกอบการประจำปี 2018 ที่ประกาศในปี 2019 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ที่สามารถครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถหรูติดต่อกัน 18 ปี ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คัน ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากการตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ซึ่งยังคงเป็นหลักสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแบรนด์จนถึงปี 2025
กลยุทธ์สำคัญที่เริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปี 2019 และส่งผลต่อสถานะของแบรนด์ในปัจจุบัน (ปี 2025) ได้แก่:
การนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่กว่า 20 รุ่นครอบคลุมทุกเซกเมนต์: กลยุทธ์นี้ทำให้ Mercedes-Benz มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้ง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และ EQ ซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น รถหรู ซีดาน, SUV, Coupe หรือรถสมรรถนะสูง
การขับเคลื่อนด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EQ Brand): แผนการสร้างระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่, บริการหลังการขาย, การขยายสถานีชาร์จ และการเดินสายการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลอย่างแท้จริง ณ ปี 2025 เราได้เห็นการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของ รถยนต์ไฟฟ้า และ ปลั๊กอินไฮบริด ภายใต้แบรนด์ EQ ที่กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมองหา นวัตกรรมยานยนต์ ที่ยั่งยืน
การเสริมความแข็งแกร่งของบริการหลังการขายและเครือข่ายผู้จำหน่าย: การลงทุนใน “คลังอะไหล่แห่งใหม่” ที่ทันสมัยบนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2019 และแผนการขยายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเข้าถึง ศูนย์บริการ Mercedes-Benz และอะไหล่แท้เป็นไปอย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพสูงสุด
มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ อดีตประธานบริหาร ได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จระดับโลกของ Mercedes-Benz ในฐานะแบรนด์รถหรูที่มียอดขายมากที่สุดติดต่อกันหลายปี โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทย เป็นตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ คำกล่าวเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จที่ยังคงดำเนินไปอย่างแข็งแกร่งในปี 2025
เจาะลึก 5 ยนตรกรรมแห่ง Motor Expo 2019: กำหนดมาตรฐานสู่ปี 2025
งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 36 ในปี 2019 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้เปิดตัว 5 ยนตรกรรมใหม่ ที่สะท้อนถึงทิศทางและกลยุทธ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่รถยนต์เหล่านี้ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่กำหนดมาตรฐานของตลาด รถหรู ในปัจจุบัน
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: S-Class แห่งโลก SUV
GLS เจเนอเรชันที่ 3 ได้รับการยกย่องให้เป็น “S-Class แห่งโลก SUV” ด้วยความหรูหราสง่างาม ผสานความปลอดภัยสูงสุด และความสะดวกสบายเทียบเท่ารถซีดานเรือธง แม้จะเป็นรถที่เปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน แต่ในปี 2025 GLS ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการ เอสยูวีหรู 7 ที่นั่งอย่างแท้จริง เทคโนโลยี MULTIBEAM LED พร้อม ULTRA RANGE Highbeam ที่ปรับความเข้มและลำแสงได้อย่างอิสระ ยังคงเป็นมาตรฐานที่ล้ำสมัย ระบบ MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit ขนาด 2 จอ และบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ช่วยเหลือฉุกเฉินและ Tele diagnostics คือสิ่งที่ทำให้ ราคา Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ที่ 8,859,000 บาท ในขณะนั้นสะท้อนถึงคุณค่าและเทคโนโลยีที่ได้รับ การเป็น SUV พรีเมียมที่ผสานฟังก์ชันการใช้งาน ความหรูหรา และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ GLS ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในเซกเมนต์นี้
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic (รุ่นประกอบในประเทศ): ผสมผสานความแกร่งและความหรูหรา
GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ถือเป็นการตอบโจทย์ตลาด SUV ขนาดกลาง-ใหญ่ ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งของ SUV และความหรูหราของ Mercedes-Benz การออกแบบภายนอกที่เน้นความดุดันด้วยกระจังหน้า 6 เหลี่ยมยกสูง, ไฟหน้า MULTIBEAM LED และ AMG Bodystyling รอบคัน ยังคงเป็นจุดเด่นที่น่าประทับใจ การเพิ่มระยะฐานล้อ 80 มิลลิเมตรจากรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งแถวที่สองที่ปรับพื้นที่วางขาได้อิสระ และฟังก์ชัน EASY-ENTRY สำหรับแถวที่สาม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสารทุกคน ระบบ MBUX, จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) และระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Active Distance Assist DISTRONIC และ Active Lane Keeping Assist คือ นวัตกรรมยานยนต์ ที่ยกระดับ ประสบการณ์ขับขี่ และเป็นมาตรฐานที่ผู้ใช้รถคาดหวังจาก เอสยูวีหรู ในปี 2025 การผลิตในประเทศยังช่วยให้ ราคา Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ที่ 5,190,000 บาท เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในตอนนั้น ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: พลังแห่งสมรรถนะ
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความแรงและ ประสบการณ์ขับขี่ แบบสปอร์ต Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือคำตอบ ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร เทอร์โบคู่แบบ Hot inside V และระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ที่มอบความคล่องตัวและการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วราวกับรถในสนามแข่ง การออกแบบภายนอกที่โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grille และปีกท้าย AMG พร้อมดิฟฟิวเซอร์สไตล์ใหม่ เสริมลุคสปอร์ตอย่างเต็มพิกัด ภายในห้องโดยสาร AMG Performance seats หุ้มด้วยหนัง AMG nappa leather, พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel และแผงหน้าปัดดิจิทัล 10.25 นิ้วพร้อมโหมดการแสดงผล 3 แบบ (Classic, Sport, Super sports) สร้างบรรยากาศแห่งการแข่งขันที่เร้าใจ ระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ ที่ควบคุมผ่าน AMG DYNAMIC SELECT และโหมด RACE เป็นการย้ำถึงประสิทธิภาพสูงสุด การเปิดตัว GLC 63 S ด้วย ราคา Mercedes-Benz 10,790,000 บาท ในตอนนั้น แสดงให้เห็นถึงการนำเสนอ รถหรู สมรรถนะสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม และยังคงเป็นผู้นำในกลุ่ม เอสยูวีหรู แบบ Performance ในปี 2025
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé (รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่): ความสปอร์ตที่เข้าถึงได้
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé โฉมใหม่ รุ่นประกอบในประเทศ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการ เอสยูวีหรู สมรรถนะสูงจาก AMG แต่ต้องการความยืดหยุ่นและการเข้าถึงที่มากขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo และระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC การตกแต่งภายนอกด้วยชุด AMG bodystyling, ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว ยังคงรักษา DNA ของ AMG ไว้อย่างครบถ้วน ภายในห้องโดยสารเน้นความสปอร์ตด้วยเบาะ AMG Sport seat หุ้มหนัง DINAMICA microfibre ตัดกับด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim พร้อมระบบ MBUX และ AMG Head-up Display ระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ที่ปรับแต่งพิเศษ ทำให้รถคันนี้มอบ ประสบการณ์ขับขี่ ที่เร้าใจแต่ยังคงความสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ราคา Mercedes-Benz GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศที่ 4,990,000 บาท ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มองหา รถหรู สมรรถนะสูงได้กว้างขึ้น และยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งในตลาดปัจจุบัน
Mercedes-Benz E 300 e (รุ่นประกอบในประเทศ): ก้าวสำคัญสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า
Mercedes-Benz E 300 e ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า ของแบรนด์ ด้วยการเป็น ปลั๊กอินไฮบริด ซีดานอัจฉริยะที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ขนาดความจุ 13.5 kWh ที่เพิ่มขึ้นถึง 110% จากรุ่นก่อนหน้า ทำให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การผสานพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิด 700 นิวตันเมตร พร้อมอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยเพียง 46 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น นับเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่นในด้านความยั่งยืน การออกแบบภายนอกภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ที่สง่างาม และภายในที่หรูหราพร้อมระบบ MBUX และระบบความปลอดภัย PRE-SAFE® เป็นการยืนยันถึงมาตรฐานของ Mercedes-Benz การนำเสนอ 3 รุ่นย่อย (Avantgarde, Exclusive, AMG Dynamic) ด้วย ราคา Mercedes-Benz E 300 e ที่เริ่มตั้งแต่ 3,190,000 บาท ทำให้ ปลั๊กอินไฮบริด รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคหันมาสนใจ รถยนต์ไฟฟ้า มากขึ้น ซึ่งกลายเป็นก้าวสำคัญที่ปูทางไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ EQ ที่หลากหลายในปี 2025
อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและนวัตกรรมดิจิทัลในยุค 2025
ณ ปี 2025 Mercedes-Benz ได้ยกระดับแบรนด์ EQ ให้เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด แต่เป็นสัญลักษณ์ของ รถยนต์ไฟฟ้า เต็มรูปแบบ (BEV) ที่หลากหลาย และเป็นผู้นำในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจร ความมุ่งมั่นที่เริ่มต้นในปี 2019 ด้วยการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศและการขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ ได้ผลิดอกออกผลอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2025 เรามีสถานีชาร์จที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นหลายร้อยแห่งทั่วประเทศไทย ทำให้ความกังวลเรื่องระยะทางลดลงอย่างมาก และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงสุด
ระบบ “Mercedes me connect” ได้พัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นหัวใจสำคัญของ ประสบการณ์ขับขี่ และการเป็นเจ้าของรถยนต์ Mercedes-Benz ในยุคดิจิทัล ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน, การวิเคราะห์สภาพรถยนต์ผ่าน Tele diagnostics, และระบบนำทาง Live Traffic Information ได้ถูกยกระดับให้ชาญฉลาดและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น การควบคุมฟังก์ชันรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือปรับอุณหภูมิในห้องโดยสาร ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใช้งานคาดหวัง ระบบ MBUX ที่ผสาน AI เข้ากับการสั่งงานด้วยเสียง ได้เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างคน รถ และโลกดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติที่สุด
ความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเปลี่ยน: ประสบการณ์ลูกค้าเหนือระดับ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องในปี 2025 คือความมุ่งมั่นในการมอบ “Best Customer Experience” แคมเปญบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง, โปรแกรม Mercedes-Benz ServicePlus, และการใช้อะไหล่ Reman แท้ ได้สร้างความเชื่อมั่นและลดความกังวลในการเป็นเจ้าของ รถหรู ให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง การลงทุนในการพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิคผ่านโครงการ GTDEE (German-Thai เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี) ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในประเทศไทย ได้ผลิตบุคลากรคุณภาพสูงเข้าสู่ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
การขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการให้ครอบคลุม 36 แห่งทั่วประเทศ และการเพิ่มศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้มาตรฐาน Mercedes-Benz เป็น 15 แห่ง ได้อำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าเข้าถึงบริการระดับพรีเมียมได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Mercedes-Benz ยังคงครองใจลูกค้า และรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด รถหรู ของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
สรุป: ตำนานที่ยังคงก้าวไปข้างหน้า
Mercedes-Benz ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของ นวัตกรรมยานยนต์ ความหรูหรา และความยั่งยืน การที่แบรนด์สามารถรักษาสมดุลระหว่างการสืบทอดมรดกอันยาวนานเข้ากับการนำเสนอ เทคโนโลยีรถยนต์ ล้ำสมัยได้อย่างชาญฉลาด ทำให้พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการบุกเบิกในด้าน รถยนต์ไฟฟ้า การยกระดับ ประสบการณ์ขับขี่ ด้วยระบบดิจิทัล หรือการสร้างสรรค์ รถหรู ที่เป็นมากกว่าพาหนะ แต่เป็นงานศิลปะ Mercedes-Benz ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค และตอกย้ำถึงตำแหน่งแห่งผู้นำอันเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงในวงการ รถยนต์ไฟฟ้า และ ปลั๊กอินไฮบริด ระดับโลก และในตลาดประเทศไทยเองด้วย
