ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ชื่อของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างไม่เสื่อมคลาย หากมองย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2020s จะพบว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานสำคัญผ่านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ซึ่งหล่อหลอมให้แบรนด์นี้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ทั้งการผสานศิลปะเข้ากับวิศวกรรมยานยนต์ การช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ SUV ที่ดุเดือด รวมถึงการผลักดันวิสัยทัศน์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จและกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์พรีเมียมอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน
การผสมผสานศิลปะและยานยนต์: โปรเจกต์ Geländewagen อันเป็นตำนาน
หนึ่งในโปรเจกต์ที่สะท้อนถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของการออกแบบยานยนต์และสร้างนิยามใหม่ให้กับ รถยนต์หรู ได้อย่างเด่นชัดคือ “Project Geländewagen” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง Virgil Abloh อดีต CEO ของ Off-White และ Artistic Director ของ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เกิดขึ้นและทำการประมูลไปเมื่อเดือนตุลาคม 2020 โปรเจกต์นี้ไม่ใช่เพียงแค่การนำ G-Class มาตกแต่งใหม่ แต่เป็นการทดลองทางศิลปะที่ท้าทายความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง
จากพื้นฐานของ G-Class ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น รถยนต์ SUV ออฟโรด 4×4 ที่แข็งแกร่ง ผู้สร้างทั้งสองกลับต้องการพลิกโฉมให้กลายเป็น “Race Car” ที่มีกลิ่นอายของสนามแข่งอย่างเต็มตัว ผลลัพธ์ที่ได้คือ G-Class ที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น ปรับระดับความสูงให้ต่ำลงอย่างมาก สวมล้ออัลลอยและยางขนาดใหญ่เกินจริงที่ให้ความรู้สึกฉูดฉาดและแปลกตา พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจากรถแข่ง Formula 1 อย่าง Project 1 และเบาะนั่งที่นำมาจากรถ DTM Car ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ล้วนสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง ชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยภายในตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยหรือมือจับประตู ต่างถูกเน้นด้วยสีแดงสดใส ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นรถแข่งที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความฮือฮาในวงการยานยนต์และแฟชั่น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเป็นมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะที่ขับเคลื่อนได้ การประมูลโดย Sotheby’s เพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์นานาชาติ ยังเป็นการยกระดับคุณค่าของโปรเจกต์นี้ให้เหนือกว่าแค่รถยนต์ แต่เป็นงานศิลปะเพื่อสังคม โดยผู้ชนะการประมูลยังได้รับโอกาสพิเศษในการพูดคุยกับผู้สร้างสรรค์ทั้งสองถึงเบื้องหลังแรงบันดาลใจอีกด้วย นี่คือหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำจุดยืนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการผสานความหรูหรา นวัตกรรม และศิลปะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน
การช่วงชิงผู้นำในตลาด SUV Coupe: GLE Coupe ปะทะ BMW X6
ในช่วงต้นทศวรรษ 2020s ตลาด รถยนต์ SUV Coupe กำลังเป็นที่จับตามองและมีการแข่งขันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะระหว่างสองค่ายยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี การเปิดตัว All-new BMW X6 2020 ในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 (ก่อนหน้าปี 2020) ได้เป็นการชิงจังหวะตลาดไปก่อน และเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ไม่รอช้าที่จะตอบโต้ด้วยการเปิดตัว All-new Mercedes-Benz GLE Coupe 2020 ตามมาติดๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมเสียเปรียบในเซ็กเมนต์นี้อีกต่อไป
ในอดีต เมอร์เซเดส-เบนซ์เคยพลาดท่าให้ BMW ที่บุกเบิกตลาด SUV ทรงคูเป้ด้วย BMW X6 (E71) เจเนอเรชันแรกจนประสบความสำเร็จ ทำให้ GLE Coupe เจเนอเรชันแรกต้องออกมาต่อสู้กับ X6 ที่เข้าสู่เจเนอเรชันที่ 2 แล้ว แต่ในปี 2020 (ซึ่งเป็นอดีตเมื่อมองจากปี 2025) สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป เมอร์เซเดส-เบนซ์แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและไม่ต้องการปล่อยให้คู่แข่งนำหน้า การเปิดตัว All-new GLE Coupe 2020 จึงเป็นไปอย่างดุดัน ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตกว่า GLE รุ่นมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ด้วยแนวหลังคาที่ลาดเอียงลงมาด้านท้าย เน้นความเป็น รถสปอร์ต Coupe มากขึ้น แม้ส่วนหน้าจะคล้ายคลึงกับ GLE ทั่วไป แต่ด้านท้ายที่มีไฟท้ายดีไซน์ใหม่ก็สร้างความแตกต่างและหรูหราเหนือชั้นกว่ารุ่นเดิม
ภายในห้องโดยสารของ All-new GLE Coupe 2020 แม้จะมีเค้าโครงคล้ายกับ GLE รุ่นปกติ แต่ก็แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง โดยมีแนวคิดการออกแบบที่ต้องการให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกเหมือนอยู่ใน “ห้องบัญชาการ” ด้วยบรรยากาศที่โปร่งโล่ง แต่ยังคงความหรูหราล้ำสมัย แผงมาตรวัดแบบ Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว สองจอเรียงต่อกัน พร้อมคอนโซลกลางที่หวือหวา และระบบไฟ Ambient Light ที่เลือกเฉดสีได้หลากหลาย ยิ่งย้ำภาพลักษณ์ความพรีเมียมของ รถยนต์หรู คันนี้ นอกจากนี้ ระบบผู้ช่วย MBUX เวอร์ชั่นล่าสุดที่มาพร้อม AI อันชาญฉลาด สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติได้ ถือเป็นหนึ่งใน เทคโนโลยียานยนต์ ที่โดดเด่นในยุคนั้น โดยภายในตกแต่งด้วยหนังสังเคราะห์ ARTICO เป็นมาตรฐาน และมีออปชันหนัง Nappa แท้ให้เลือกเพื่อเพิ่มความหรูหราขั้นสุด
ในด้านสมรรถนะ All-new Mercedes-Benz GLE Coupe 2020 สำหรับตลาดยุโรปเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 2 รุ่น ได้แก่ GLE Coupe 350 d 4MATIC กำลัง 272 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร และ GLE Coupe 400 d 4MATIC กำลัง 330 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ทั้งสองรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ที่สามารถกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้ 0-100% ตามสถานการณ์ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือท้ายปัดในการเข้าโค้ง ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวถัง เป็นออปชั่นที่สามารถเพิ่มได้ เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
ด้านความปลอดภัย เทคโนโลยียานยนต์ ที่ล้ำสมัยถูกนำมาใช้ โดยมี Active Braking Assist เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนระบบ Active Distance Assist DISTRONIC, Active Stop-and-Go Assist และ Active Steering Assist เป็นออปชั่นเสริมที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยให้เทียบเท่า รถยนต์หรู ระดับพรีเมียมอื่นๆ แม้ว่าราคาจะยังไม่ประกาศในขณะนั้น แต่การเปิดตัว GLE Coupe 2020 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะไม่ยอมให้คู่แข่งนำหน้า และยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด รถยนต์ SUV Coupe มาจนถึงปัจจุบัน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย): ผู้นำตลอดกาลและวิสัยทัศน์สู่ยานยนต์ไฟฟ้า
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงปี 2018 ที่สร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด รถยนต์หรู ในประเทศไทย 18 ปีติดต่อกันในขณะนั้น ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคชาวไทยมาจนถึงปี 2025
แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2019 (ซึ่งถือเป็นอดีตเมื่อมองจากปี 2025) ได้สะท้อนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอย่างชัดเจน บริษัทฯ ได้ประกาศนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่กว่า 20 รุ่น ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี, เมอร์เซเดส-มายบัค และแบรนด์ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EQ ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นกระแสหลักในปัจจุบัน
มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหารในขณะนั้น ได้กล่าวถึงความสำเร็จระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ครองตำแหน่งแบรนด์รถหรูระดับพรีเมียมที่มียอดขายมากที่สุดเป็นปีที่สามติดต่อกัน ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 2.3 ล้านคันทั่วโลกในปี 2018 โดยมี รถยนต์ SUV เป็นหัวใจหลักของความสำเร็จ และ รถสปอร์ต ตระกูล AMG ก็มียอดจำหน่ายที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างครอบคลุม
สำหรับประเทศไทย ยอดขาย 15,785 คัน ในปี 2018 ถือเป็นการทำลายสถิติสูงสุด และตอกย้ำความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นตลาดขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ การวางแผนเปิดตัวรถยนต์กว่า 20 รุ่นในปี 2019 และการสร้างระบบนิเวศ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ การให้บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จ และการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ครองความเป็นผู้นำด้าน นวัตกรรมยานยนต์ พลังงานไฟฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน
มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาดในขณะนั้น ได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของแบรนด์ AMG ซึ่งเติบโตถึง 309% ในปี 2018 อันเป็นผลมาจากการรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดตัวรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศ การจัดกิจกรรม “Mercedes-AMG Driving Experience” และการขยายผู้จำหน่าย AMG อย่างเป็นทางการถึง 12 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้าน บริการหลังการขาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคกลุ่ม รถสปอร์ต สมรรถนะสูง
นอกจากนี้ การเปิดตัว “AMG Brand Center” แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 11 แห่งทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้ากลุ่ม AMG ให้พิเศษยิ่งขึ้น การลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2018 และการร่วมมือกับโรงแรมชั้นนำเพื่อขยายจุดชาร์จ รถยนต์ไฟฟ้า กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความจริงจังในการผลักดันแบรนด์ EQ และรถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด สู่ตลาดอย่างเต็มรูปแบบ
นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้าในขณะนั้น ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของ “การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” ผ่านแคมเปญ บริการหลังการขาย อย่างต่อเนื่อง การพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิค และการขยาย “คลังอะไหล่แห่งใหม่” บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ซึ่งมีระบบการจัดการที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายอะไหล่ให้กับ ศูนย์บริการ ทั่วประเทศ รวมไปถึงการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเป็น 36 แห่ง และศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็น 15 แห่งทั่วประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาด รถยนต์หรู ของไทยมาจนถึงปี 2025
การขับเคลื่อนสู่อนาคต: 5 ยนตรกรรมใหม่จากมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2019
งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2562 (ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในอดีต) ถือเป็นเวทีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศทิศทางการรุกตลาด รถยนต์ SUV และ ปลั๊กอินไฮบริด อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว 5 ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม และสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทาง นวัตกรรมยานยนต์ ของแบรนด์อย่างชัดเจน
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: นิยามใหม่ของ SUV หรู 7 ที่นั่ง
GLS เจเนอเรชันที่ 3 นี้คือ Large Full-Size SUV แบบ 7 ที่นั่ง ที่เข้ามาเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ รถยนต์ SUV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดดเด่นด้วยความหรูหราสง่างามเทียบเท่า S-Class ผสานกับความแข็งแกร่งของ รถยนต์ SUV ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อม ULTRA RANGE Highbeam ที่ประกอบด้วยหลอด LED 112 หลอดต่อโคมไฟ สามารถปรับความเข้มและระยะการส่องสว่างได้อัตโนมัติ ล้ออัลลอย AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน เบาะที่นั่งแถว 2 และ 3 ปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบ EASY-ENTRY สำหรับแถว 3 และสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้สูงสุด 2,400 ลิตร ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit 2 จอ, ระบบ Head-up display, ระบบนำทาง และบริการ Mercedes me connect ล้วนเป็น เทคโนโลยียานยนต์ ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหา รถยนต์หรู อเนกประสงค์ในราคาระดับพรีเมียม
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic (รุ่นประกอบในประเทศ): SUV ผสานดีไซน์และเทคโนโลยี
GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการผลิตรถยนต์ที่เข้าถึงง่ายขึ้นในตลาดไทย โดยยังคงคุณสมบัติอัจฉริยะและสุนทรียะทางการออกแบบ ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยสัดส่วนฐานล้อยาว กันชนถึงดุมล้อสั้น และยางขนาดใหญ่เหมาะกับการใช้งานในทุกสภาพถนน กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยม ชุดไฟหน้า MULTIBEAM LED และ AMG Bodystyling รอบคัน พร้อมล้ออัลลอย AMG ขนาด 21 นิ้ว ภายในห้องโดยสารผสมผสานความหรูหราและแข็งแกร่ง ด้วยฐานล้อยาวถึง 2,995 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 80 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa ปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ และเบาะแถวสองที่ปรับได้หลากหลาย พร้อมระบบ MBUX และ Head-up display ระบบความปลอดภัยได้รับการพัฒนาอย่างมาก ทั้ง Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic จึงเป็น รถยนต์ SUV ที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านดีไซน์ สมรรถนะ และ เทคโนโลยียานยนต์ เพื่อความปลอดภัย
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: SUV Coupe สมรรถนะสูงสุด
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแรงและความดุดัน Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือ รถยนต์ SUV Coupe ที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์คูเป้ผสานความแข็งแกร่งของ รถยนต์ SUV ภายใต้แบรนด์ AMG ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG 20 นิ้ว ภายในมาพร้อมเบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel และแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ที่มีโหมดการแสดงผลสไตล์ AMG ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผล 12.35 นิ้ว และ Touchpad ระบบกันสะเทือน air suspension ทำงานร่วมกับ AMG RIDE CONTROL+ ควบคุมผ่าน AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมด “RACE” สำหรับผู้ที่ต้องการ สมรรถนะสูง สุดขีด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ทวินเทอร์โบ พร้อมระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ทำให้ GLC 63 S 4MATIC+ Coupé เป็น รถสปอร์ต SUV ที่ไม่เป็นรองใครในด้านสมรรถนะและความเร้าใจ
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé (รุ่นประกอบในประเทศ): AMG ที่เข้าถึงง่ายขึ้น
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการขยายฐานลูกค้า AMG ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอ รถยนต์ SUV Coupe ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ภายนอกมาพร้อมชุดแต่ง AMG bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grill ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG 20 นิ้ว พร้อมปลายท่อไอเสียแบบ 4-pipe look และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ภายในโดดเด่นด้วยเบาะนั่ง AMG Sport seat พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa แผงหน้าปัด All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว ระบบ MBUX และ Head-up Display ระบบความปลอดภัยล้ำสมัย อาทิ Distance Pilot DISTRONIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo พร้อมระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT TCT 9G มอบ สมรรถนะสูง ที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างเร้าใจ ทำให้ GLC 43 4MATIC Coupé เป็น รถสปอร์ต SUV ที่ผสมผสานความแรงและความหรูหราได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz E 300 e (รุ่นประกอบในประเทศ): อนาคตของปลั๊กอินไฮบริด
E 300 e คือยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน นวัตกรรมยานยนต์ พลังงานไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในตลาดไทย ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์ ปลั๊กอินไฮบริด ที่ผสานพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่มีความจุ 13.5 kWh (เพิ่มขึ้นถึง 110%) ทำให้ระยะทางขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดได้อย่างยอดเยี่ยม รถยนต์รุ่นนี้มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ E 300 e Avantgarde, E 300 e Exclusive และ E 300 e AMG Dynamic ดีไซน์ภายนอกยังคงความสง่างามตามคอนเซ็ปต์ Sensual Purity ด้วยกระจังหน้าโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED ในรุ่นท็อป ภายในมอบความหรูหราด้วยเบาะหนัง ARTICO หรือ Nappa พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน และจอ Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ MBUX และไฟสร้างบรรยากาศ 64 สี
ระบบความปลอดภัยและ เทคโนโลยียานยนต์ ของ E 300 e มาพร้อมกับ PRE-SAFE®, ESP®, ABS, ADAPTIVE BRAKE, Cruise Control, ATTENTION ASSIST, PARKTRONIC และ Parking Pilot รวมถึงกล้องมองหลัง ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT และบริการ Mercedes me connect การผสานเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า ให้กำลัง System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ทำให้ E 300 e ไม่เพียงแต่เป็น รถยนต์ไฟฟ้า แบบ ปลั๊กอินไฮบริด ที่ประหยัดเชื้อเพลิงและปล่อยมลพิษต่ำ (คาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยเพียง 46 กรัม/กม.) แต่ยังให้ สมรรถนะสูง ที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างน่าประทับใจ E 300 e จึงเป็นก้าวสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนตลาด รถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทยอย่างแท้จริง
บทสรุป: ผู้นำที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
จากมุมมองในปี 2025 เป็นที่ประจักษ์ว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การลงทุนใน นวัตกรรมยานยนต์ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างสรรค์โปรเจกต์พิเศษที่ผสานศิลปะเข้ากับยานยนต์ การช่วงชิงตลาด รถยนต์ SUV ที่ดุเดือด ไปจนถึงการวางรากฐานสำหรับยุค รถยนต์ไฟฟ้า และ ปลั๊กอินไฮบริด อย่างจริงจังในประเทศไทย กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด รถยนต์หรู ได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าแบรนด์นี้จะยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนอนาคตของยานยนต์ต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สมรรถนะสูง พร้อม เทคโนโลยียานยนต์ ล้ำสมัย และ บริการหลังการขาย ที่เหนือระดับ เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงเป็นมากกว่าแค่รถยนต์ แต่คือสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าและความเป็นเลิศที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง

