ทุกค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมจัดบูธในงาน Paris Motorshow 2012 ต่างพากันคาดหวังว่าจะเป็นชนวนเล็ก ๆ ที่จะช่วยกัน
พลิกฟื้นตลาดรถยนต์ภูมิภาคยุโรปให้กลับมาทรงตัวและดีขึ้นในระยะสั้นสอดคล้องกับนักวิเคราะห์และผู้บริหารรถยนต์
บางท่านได้ทำนายไว้ว่าตลาดรถปี 2013 อาจจะฟื้นตัวขึ้นแน่นอน บ้างก็ว่าน่าจะมียอดขายกลับไปสู่ยุค 2000 ต้น ๆ บ้าง
ก็ว่าตลาดรถยุโรปมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างถาวรก็น่าจะทำให้ค่ายรถทุกค่ายต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
แม้บรรยากาศในงานอาจจะไม่เป็นใจนักสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ แต่เราก็เชื่อมั่นว่างานนี้แหล่ะคืองานที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้น
สำหรับผู้อ่านชาว Headlightmag ที่รักรถอย่างมากอย่างแน่นอน งานนี้มีรถยนต์รุ่นใหม่รวม 33 โมเดล จากรถที่อวดโฉม
มากกว่า 100 รุ่นจากผู้ผลิต 253 ราย
ปีนี้มีรถยนต์ค่ายฝรั่งเศสบางค่ายถนอมเนื้อถนอมตัวในการจัดบูธ ไม่ได้โชว์ความยิ่งใหญ่อลังการมากนัก ผิดกับค่ายรถ
เยอรมันที่มาท๊อปฟอร์มแบบสุด ๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากค่าย Volkswagen Group นั่นเอง
งานประจำปีนี้จะมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในยุโรปได้หรือไม่ คงต้องมาดูกันเลย
Audi
แค่ค่ายแรกก็น่าจะเรียกเสียงสูดปากกันได้ไม่น้อย เมื่อ Audi แนะนำรถต้นแบบ Audi Crosslane Coupe Concept ถ้า
หากจะให้แปลชื่อกันตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยก็น่าจะแปลว่ารถ Audi คร่อมเลน เรื่องชื่อรถจะเป็นอย่างไรก็คงไม่ต้องไปสนใจกัน
เรามาดูกันที่ตัวรถกันเลยดีกว่า


Audi Crosslane Coupe Concept จะเป็นร่างทรงของ Audi Q2 ครอสโอเวอร์คูเป้ 3 ประตูที่จะมาต่อกรกับ Mini
Paceman หรือ Range Rover Evoque รุ่น 3 ประตู โดยรวมมีดีไซน์ที่แตกต่างจาก Audi รุ่นอื่นพอสมควรเลย ก็น่าจะทำ
ให้ผู้ที่เริ่มเอียนดีไซน์แบบเดิม ๆ เริ่มหันกลับมามอง Audi มากขึ้น ตัวรถก็ออกแบบมาแนวเหลี่ยมสันและคมคายไปเลย
คาดว่าเอสยูวีรุ่นพี่ที่จะเปลี่ยนโฉมในอนาคตน่าจะมีเส้นสายในลักษณะเหลี่ยมสันมากขึ้น เพราะ Audi ต้องการสร้าง
เอกลักษณ์งานออกแบบให้แยกกลุ่มตัวถังให้ชัดเจนกันไปเลย


Audi Crosslane Coupe Concept บรรจุเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายอย่าง อาทิ พื้นตัวถัง Space frame ที่ใช้วัสดุหลาก
ชนิดไม่ว่าจะเป็น อลูมิเนียม, คาร์บอนไฟเบอร์ CFRP และไฟเบอร์ใยแก้วโพลิเมอร์ GFRP ช่วยทำให้ตัวรถมีน้ำหนักแค่
เพียง 1,390 กิโลกรัม หลังคาสามารถถอดออกได้เหมือนกับรถเปิดประทุนยุคเก่า และติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ใหม่
ล่าสุด
ขุมพลัง Plug-in Hybrid ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน 3 สูบ 1.5 ลิตร TFSI ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูก
ให้กำลังรวมกัน 177 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.6 วินาที หากวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าจะมีอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งโหมดรถไฟฟ้า
ระยะทางสูงสุด 86 กิโลเมตร
ดูแล้วน่าตื่นเต้นน่าดู คงต้องรอกันสักพักหนึ่งถึงจะได้จับจองกันได้

Audi RS5 Cabriolet ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 แบบ FSI ความจุ 4.2 ลิตรมาประจำการเช่นเคย โดยพก
กำลัง 450 แรงม้าติดตัว พร้อมแรงบิด 430 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ S-Tronic 7 จังหวะ
ส่งกำลังทั้งหมดผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ที่แบ่งกำลังในอัตราส่วน 40:60 (ล้อหน้า:ล้อหลัง) ซึ่ง
สามารถส่งถ่ายกำลังตามสภาพการขับขี่ ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดนี้ ช่วยสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ใน
เวลา 4.9 วินาที และถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 250 กม./ชม.

สำหรับฟังก์ชันการเปิดประทุน สามารถเปิดประทุนได้ด้วยการใช้เวลาเพียง 15 วินาที และ 17 วินาทีสำหรับการปิด
ประทุน ด้านรูปลักษณ์มาพร้อมการตกแต่งสไตล์รหัส RS ด้วยสปอยเลอร์หน้าสีเทา สวมล้ออะลูมินัมขนาด 19 นิ้ว
โดยมีล้อขนาด 20 นิ้วให้เลือกเป็นพิเศษ

2013 Audi RS5 Cabriolet พร้อมออกจำหน่ายในประเทศเยอรมนีเป็นที่แรก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2013 และ
ยังไม่มีแผนการขายในภูมิภาคอื่นประกาศออกมาในตอนนี้ครับ
Bentley

Bentley ประกาศคืนสังเวียนมอเตอร์สปอร์ตอีกครั้งด้วยการแนะนำรถแข่ง Continental GT3 concept ถูกสร้างขึ้นบน
พื้นฐาน New GT ที่ Bentley เคลมว่า GT ใหม่เป็นรถวิ่งถนนที่เร็วที่สุดในโลก ในเมื่อรถรุ่นมาตรฐานดีเยี่ยมอยู่แล้ว
Bentley จึงสามารถต่อยอด GT3 Concept ให้กลายเป็นรถแข่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก

Bentley GT3 Concept จะถูกปรับจูนสมรรถนะให้ดีขึ้นไปอีก, สามารถขับขี่ในความเร็วสูงได้อย่างโดดเด่น, ปรับปรุง
ระบบส่งกำลังและตัวรถรอบคันเพื่อให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ก็แน่นอนว่ารถแข่งคันนี้ถูกรับรองโดยสมาพันธ์
FIA เรียบร้อยแล้ว และนี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรุกมอเตอร์สปอร์ตในระยะยาวของ Bentley
BMW

ปีนี้มาแปลก เรานึกว่า BMW จะจัดเต็มในงานนี้ แต่กลับส่งรถต้นแบบ BMW Concept Active Tourer มาเพียงแค่คัน
เดียวซึ่งรถต้นแบบคันนี้จะเป็นร่างทรงของ BMW 1-Series GT มาในรูปแบบมินิแวนขนาดกะทัดรัด 5 ที่นั่งแตกต่างจาก
GT รุ่นพี่ที่จะเน้นความเป็นรถลูกผสมแวกอนมากกว่ามินิแวน รูปลักษณ์มาในลักษณะทรงลิ่ม เน้นความลู่ลม พร้อมไฟ
หน้า LED และกระจังหน้าพร้อมกันชนที่มีความสปอร์ต ต่อเนื่องด้วยเส้นแนวหลังคาที่ตวัดขึ้นอย่างโฉบเฉี่ยว สปอยเลอร์
หลัง พร้อมการสวมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และมีระยะฐานล้อหน้า-หลังกว้างถึง 2,670 มม.

สำหรับรูปลักษณ์ภายใน ยังคงใช้เส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW มาพร้อมการบุหุ้มหนังแท้ ผสานเข้ากับ
ลายไม้และเน้นการตกแต่งสีส้ม มาตรวัดของ Concept Active Tourer ใช้ระบบหน้าจอดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว
พร้อมระบบ Head-Up Display นอกจากนี้ไฮไลท์ของห้องโดยสารจะอยู่ที่ระบบอินโฟเทนเมนท์รูปแบบใหม่
เบาะหลังแยกพับได้ หลังคากระจกแบบกว้างพิเศษพร้อมเทคโนโลยี Suspended Particle Device (SPD) ที่
ผู้ขับขี่สามารถกำหนดปริมาณแสงที่จะให้สาดส่องผ่านเข้ามาในห้องโดยสารได้

ขุมพลังที่ใช้ในรถต้นแบบคันนี้เป็นรูปแบบ Plug-In Hybrid อันประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 1.5 ลิตร
ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ Li-ion สร้างกำลังรวมได้ถึง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 200 นิวตัน-เมตร
มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาต่ำกว่า 8 วินาที และสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกล
ถึง 30 กม. อย่างไรก็ตาม Concept Active Tourer สามารถสร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ต่ำเช่นกัน
โดยอยู่ที่ 40 กม./ลิตร
เศรษฐีท่านใดที่อยากใช้รถ BMW 1-Series GT คงจะต้องรอกันถึงปี 2014 กันเลย
Chevrolet

มีงานมอเตอร์โชว์ในยุโรปเมื่อใด Chevrolet ก็ต้องมีรถรุ่นใหม่มานำเสนอเมื่อนั้น
งานนี้จึงไม่พลาดที่จะส่ง Chevrolet Trax เอสยูวีรุ่นใหม่ระดับ B-Segment หมายมั่นปั้นมือเพื่อแข่งขันกับ
Nissan Juke, Ford EcoSport และคู่แข่งอีกสารพัด
Chevrolet Trax ถือเป็นเอสยูวีที่ถูกถ่ายทอดจากประสบการณ์การพัฒนาเอสยูวีมาช้านานจนน่าเชื่อถือได้ Trax มา
พร้อมกับความล้ำสมัย รองรับทุกการใช้งานและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สมรรถนะการควบคุมเหมือนกับรถยนต์นั่ง
ผสานกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ

มิติตัวถังของ Chevrolet Trax มีขนาดยาว 4,248 มม. มีความยาวฐานล้อ 2,555 มม. มาพร้อมกับเส้นสายภายนอกที่ดู
ทรงพลังให้ความปราดเปรียวและพร้อมมุ่งไปข้างหน้า โลโก้โบว์ไทสีทองถูกประทับโดดเด่นอยู่บนกระจังหน้าแบบสองชั้น
Chevrolet Trax มีพื้นที่ภายในที่กว้างขวางรองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ให้ความสะดวกสบายด้วยตำแหน่งเบาะนั่งที่ค่อนข้าง
สูง Trax ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองการขับขี่ทุกรูปแบบ ทั้งการเดินทางทั้งครอบครัว และไลฟ์สไตล์แบบตัวคนเดียว
พร้อมกับมีศักยภาพลุยเส้นทางออฟโรดได้เช่นกัน
ขุมพลังมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.4 ลิตร เทอร์โบ เครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล
เทอร์โบ 1.7 ลิตรให้เลือกใช้ สำหรับเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบที่ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้พละกำลังสูงสุด 140
แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ซึ่งเกียร์ธรรมดาจะมาพร้อมกับระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ (Start/Stop) ด้วย
ขณะที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดจะมีเฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบ และ 1.7 ลิตร
ดีเซล ซึ่งให้พลังสูงสุดอยู่ที่ 130 แรงม้า
ภายในห้องโดยสารมีความเรียบหรูสะอาดตา การออกแบบแผงมาตรวัดทีผสมผสานการแสดงผลแบบดิจิตอลและ
อนาล็อกเข้าไว้ด้วยกัน มีเนื้อที่เก็บสัมภาระความจุสูง 358 ลิตรแล้ว ยังมีช่องเก็บของบริเวณเหนือคอนโซล ด้านข้าง
คอนโซล ใต้เบาะที่นั่ง รวมถึงช่องเก็บของใต้พื้นรถ
เบาะที่นั่งของแทรกซ์พับแบบแยกส่วนได้ 60/40 ขณะที่เบาะหน้าด้านคนนั่งสามารถพับให้แบนราบได้เพื่อเพิ่มความ
ยืดหยุ่นในการใช้งาน ขณะเดียวกัน ยังสามารถเลือกใช้เบาะแบบ 8 ที่นั่งได้อีกด้วย


Chevrolet Trax รุ่นบน ๆ จะติดตั้งระบบเชฟโรเลต มายลิงค์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นระบบอินโฟ
เทนเมนท์ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนแสดงผลผ่านหน้าจอสีความละเอียดสูงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว โดยในช่วงปลายปีนี้
มายลิงค์ จะรองรับระบบนำทางที่สามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ทางสมาร์ทโฟน โดยจะคำนวณเส้นทางผ่านสมาร์ทโฟน
ก่อนแสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัส
Chevrolet Trax ติดตั้งระบบความปลอดภัยทั้งแบบป้องกันและแบบเตรียมพร้อมครบครันเพื่อความปลอดภัยของ
ผู้โดยสารทุกที่นั่งหากเกิดอุบัติเหตุ โดยมีถุงลมนิรภัย 6 ลูก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) ระบบป้องกันการ
ไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TC) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจาย
แรงเบรกอิเลกทรอนิก (EBD) ขณะที่ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากจูง (TSA) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทาง
ลาดชัน (HDC) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น LT
หากคุณผู้อ่านคิดอยากจะได้รถคันนี้ เราคงต้องขอแสดงความเสียใจอย่างมากว่า GM Thailand ยังไม่คิดจะนำรถคันนี้มา
ทำตลาดในเมืองไทยครับ



Chevrolet Spark Minorchange ก็ปรับรูปโฉมให้มีความสวยสดใสมากขึ้น เราสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่
ชัดเจนคือการเปลี่ยนชุดกระจังหน้าให้เล็กลงและกันชนหน้าทรงสปอร์ตมากขึ้น ส่วนด้านหลังก็ติดตั้งไฟเบรคดวงที่ 3
หลอด LED ส่วน ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับแผงแดชบอร์ดส่วนกลางให้ดูสวยซึ้งและน่าใช้งานขึ้นเล็กน้อย
Chevrolet Spark ก็หมดสิทธิ์ที่จะขายในเมืองไทยเช่นกัน
Citroen



Citroen DS3 Cabrio มาอวดโฉมในฐานะรถคู่แข่ง Fiat 500C โดยตรงซึ่งถือเป็นรถเล็กเปิดหลังคาแบบถลกหลังคาผ้าใบ
(เพราะพับหลังคาไม่ได้) ติดตั้งกลไกหลังคาถลกได้นี้ คล้ายกับใน Fiat 500 Cabrio ตามที่ได้เคยรายงานเอาไว้ โดยชุด
หลังคาจะทำจากผ้าทอพิเศษที่จะมีความหนาและแข็งแรงพิมพ์ลายแพทเทิร์นสวยงาม และกลไกการถลกหลังคาผ้านี้จะ
หยุดเป็น 2 จังหวะโดยจังหวะแรกจะหยุดที่เสา C ของตัวรถ และจังหวะที่ 2 คือร่นลงไปจนถึงฝากระโปรงท้าย เพื่อให้
สุนทรีย์แห่งการท้าสายลมและแสงแดดขณะขับขี่อย่างเต็มที่ โดยการทำงานของกลไกนี้จะทำได้ทุกความเร็วตั้งแต่
0-120 กม./ชม.
ลูกค้าในไทยคงต้องติดตามข่าวกันต่อไป เพราะตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะนำเข้ามาจำหน่าย
Dacia

แม้ Dacia เป็นค่ายรถในเครือ Renault แต่ดูเหมือนว่าบูธ Dacia จะโดดเด่นกว่าบริษัทแม่เสียอีก เพราะงานนี้ Dacia
ลงทุนเปิดตัว All New Dacia Logan และ Sandero/ Sandero Stepway สองคันสองบอดี้จับตลาดรถราคาถูกราคา
สุดคุ้ม ภายใต้ดีไซน์ที่ดูดีขึ้น ให้ออพชั่นที่หรูหรามากขึ้น เรียกว่าสร้างความฮือฮาให้กับผู้เข้าชมงานระดับหนึ่ง


All New Dacia Logan และ Sandero/ Sandero Stepway มีดีไซน์ที่ดูดีขึ้นและทันสมัยสมกับเป็นรถยุค 2012 เส้น
สายโดยรวมเรียบง่าย สัดส่วนตัวรถมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น ภายในห้องโดยสารก็มีขนาดที่กว้างขวาง พร้อมทั้งติดตั้ง
ออพชั่นที่หรูหราจนไม่คิดว่ามันจะติดตั้งในรถราคาประหยัด ได้แก่ ระบบเครื่องเสียง Dacia Plug&Radio สั่งงานผ่าน
หน้าจอขนาดใหญ่ รองรับไฟล์เพลง mp3 สามารถฟังเพลงผ่านอุปกรณ์ไร้สาย Bluetooth หรือผ่าน USB ผู้ขับขี่สามารถ
ควบคุมเพลงบนปุ่มที่พวงมาลัย, ระบบ MEDIA NAV ระบบความบันเทิงและระบบนำทางสมบูรณ์ที่สามารถสั่งงานผ่าน
หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เพื่อแสดงผลแผนที่ 2 มิติและ 3 มิติ, ระบบ Speed Limiter/Cruise Control/ เซนเซอร์ช่วย
จอด เรียกได้ว่าหรูหราเกินราคากันเลยทีเดียว
Ford

มีงานมอเตอร์โชว์เมื่อไร Ford ก็ต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่เรื่อย ๆ ปีนี้ขอนำเสนอ Ford Fiesta Minorchange ปรับโฉมเสีย
จนนึกว่า Aston Martin น้อยจนช่วยเพิ่มความพรีเมี่ยมให้กับ Ford Fiesta ได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว โคมไฟหน้าโดดเด่น
ด้วยดีไซน์ที่คมสันเหมือนเส้นเลเซอร์ ติดตั้งหลอดไฟ LED และหลอดไฟส่องสว่างตอนกลางวัน Daytime Running
Lamp และเสริมความมีพลังด้วยซุ้มโป่งล้อหน้าที่เล่นเส้นสันเด่นนูนชัดมากขึ้น ด้านท้ายก็มีการปรับปรุงรายละเอียดโคม
ไฟท้ายใหม่ดูล้ำสมัยมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความสุนทรีย์และกลมกลืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงแผง
ควบคุมชุดเครื่องเสียงให้แลดูคล้ายกับ Ford Focus รุ่นท๊อปและเปลี่ยนแผงชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศให้ดูดีขึ้น

พิเศษ Ford ลงทุนเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานล้ำสมัยให้กับ Fiesta จนสร้างมาตรฐานใหม่ให้โดดเด่นเหนือกว่ารถ
ระดับเดียวกัน ได้แก่ ระบบ Active City Stop ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติขณะวิ่งความเร็วต่ำ, Ford SYNC ระบบการ
เชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องเล่นภายนอกเข้ากับวงจรภายในรถผ่าน USB และ Bluetooth สามารถสั่งงานเสียงเพื่อโทรออก
และเล่นเพลง รวมถึงสามารถเรียกใช้บริการฉุกเฉินได้ด้วย
นอกจากนี้ Ford ยังแนะนำฟีเจอร์พิเศษใหม่ล่าสุด MyKey ระบบที่ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าความปลอดภัยของรถก่อนที่
จะให้ลูกหลานของท่านขับเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากประสบการณ์การขับขี่อันน้อยนิดของลูกหลาน ได้แก่ สามารถตั้งเตือน
ความเร็วสูงสุดและตั้งค่าความดังสูงสุดของเครื่องได้, ระบบจะปิดเสียงจากชุดเครื่องเสียงทั้งหมดจนกว่าจะคาดเข็มขัด
นิรภัยเสียก่อน


