• Sample Page
filmth.moicaucachep.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
filmth.moicaucachep.com
No Result
View All Result

N0310045_องชายตำรวจใช เส นสายลวนลามตำรวจสาว งานน เหน อฟ าย งม_part2

admin79 by admin79
September 30, 2025
in Uncategorized
0
N0310045_องชายตำรวจใช เส นสายลวนลามตำรวจสาว งานน เหน อฟ าย งม_part2

การเข้ามาของคุณ อเล็กซ์ เพาฟ์เลอร์ นายใหญ่คนใหม่ของ Mercedes-Benz Thailand
ช่วยพลิกภาพของค่ายยนตรกรรมหรูจาก ชตุทการ์ท เยอรมัน ให้มีชีวิตชีวา และใกล้ชิด
กับทั้งพนักงานของตน และลูกค้าคนไทยมากขึ้น (จนถึงกับโดนลูกค้าตีความเจตนาผิดๆ
ยกอีเมล์ส่วนตัว ไปโพสต์ด่ากลาง pantip.com อย่างที่ไม่สมควรโดนเลย) เป็นความ
เคลื่อนไหวสำคัญในช่วงต้นปี 2009

และนับจากนั้นมา ตั้งแต่ Bangkok Motor Show ค่ายดาวสามแฉก ก็เริ่มทะยอย
ปล่อยรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้ง E-Class Coupe ที่เปิดตัวในไทย ณ
งานดังกล่าว นำเข้าทั้งคัน 8 ล้านบาทเศษ พร้อมกับ C200 รุ่น Basic ตามด้วย
ช่วงเดือนตุลาคม กับ C220 CDI และส่งท้ายปีนี้ ต้นเดือนพฤศจิกายน ด้วย E-Class
W212 ใหม่ ที่รอความพร้อมของเครื่องยนต์ สำหรับเวอร์ชันไทยอยู่นานจนเกือบ
จะครบ 1 ปี หลังเผยโฉมครั้งแรก จนผู้ค้ารายย่อย เกรย์มาร์เก็ต ตัดสินใจ เปิดศึก
ตัดหน้าชิงความได้เปรียบกันเอง ว่าใครนำรถเข้ามาขายก่อนกัน และนั่นทำให้
สำนักงานใหญ่ที่ตึกรัจนากร ต้องร่อนเอกสารชี้แจงด่วนว่า เครื่องยนต์รถรุ่น
นำเข้ามากันเองเป็นรุ่น Euro IV หรือ V ซึ่งอาจมีปัญหากับคุณภาพน้ำมัน
ในเมืองไทย ที่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น

ในเมื่อปีที่แล้ว ชาว Mercedes-Benz ต้องปวดหัวกับ E-Class ใหม่ ตลอดทั้งปี
ปี 2010 ก็อย่าหวังว่าจะเลิกปวดหัวกันง่ายๆ เพราะจะต้องส่งรุ่นประกอบในประเทศ
จากโรงงานของ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ ยังจะมีแผนเปิดตัว SLS Gullwing AMG สปอร์ต หลังคาปีกนก
ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถรุ่น 300 SL Gullwing อันโด่งดัง ในยุค 1950
กลางงาน Bangkok Motor Show พร้อมๆกับ S-Class Minorchange ที่สมควร
แก่เวลาจะทำตลาดในบ้านเราได้แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2010 จะยังเป็นปีที่ Mercedes-Benz เตรียมปรับไลน์
เครื่องยนต์ของรถที่ทำตลาดในบ้านเราทั้งหมด เข้าสู่ยุค BLUE Efficiency
อันเป็นเครื่องยนต์ยุคใหม่ ที่ให้พลังแรง แต่ปล่อยมลพิษต่ำลงไปมาก
ในระดับ Euro-IV หรือ V กันเสียที

สรุปว่า จับตาดูค่ายดาวสามแฉกในปีนี้ ให้ดี เพราะนับว่าจะเป็นปีแห่งการ
ต่อยอด สู่อนาคตในปีถัดไปหลังจากนั้น
——————————————

MITSUBISHI
2010 :  Lancer EX WHITE PEARL Edition และ Triton รุ่นพิเศษกระตุ้นตลาด (ทั้งปี)
2011 : SUB-COMPACT B-Segment  หรือ ECO CAR มีนาคมนี้ รู้ผล

2009 แทนที่จะเป็นปีที่ Lancer EX หรือเจ้าหน้าฉลาม น้องใหม่ จะฉุดให้มิตซูบิชิ
ตื่นจากฝันลมๆแล้งๆ แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นปีที่ งูเหลือมเขมือบวัว ของเรา ยังคง
ต้องนอนซม รอดูเพื่อนฝูงเขากอบโกยกันอย่างสนุกสนานต่อไป เพราะดูเหมือนว่า
วัวที่งูเหลือมชื่อมิตซูบิชิ เขมือบเข้าไปนั้น เป็นพันธ์ “อเมริกัน บราห์มัน” เปรียบ
ได้กับปัญหาภายในองค์กร ที่ดูเหมือนว่าจะเยอะแยะมิใช่เล่น

เพราะหลังการเปิดตัว เมื่อ 15 กันยายน 2009 ที่ผ่านมา ปริมาณรถที่ปล่อยออกสู่ตลาด
มีไม่มาก และไม่ฮือฮาอย่างที่ควรจะเป็น แถมยอดจองในงาน Motor Expo ก็อยู่ในระดับ
300 กว่าคัน พอกันกับ Pajero Sport ซึ่งขายดีติดลมไปเรียบร้อยแล้ว และรายหลังนั้น
คาดว่าคงจะนิ่ง อยู่ในระดับนี้ต่อไปอีกนาน แถมกลับกลายเป็นว่า Lancer CNG ที่ยังค
งลากผลิตอยู่ แม้ว่า EX จะเปิดตัวไปแล้วนั้น มียอดขายเรื่อยๆ สบายๆ เดือนละ 2-300 คัน
ได้อยู่อย่างไม่น่าเชื่อ!! ยังไม่นับกับยอดขายของ รถกระบะไทรทัน ที่นับวันดูจะ
ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ


เปิดปีใหม่มานี้ การบ้านชิ้นสำคัญที่ มิตซูบิชิ ต้องทำ และดูเหมือนว่ากำลังซุ่มทำกันอยู่
คือ การกอบกู้กระแสของ แลนเซอร์หน้าฉลาม ให้เริ่มฮิตติดลมบนมากกว่าที่เป็นอยู่
ในทุกวิถีทาง นอกจากแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ ที่ควรจะรีบเข็นกันออกมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
รุ่นพิเศษที่กั๊กกันไว้ทำไมก็ไม่รู้ อย่าง รุ่นสีพิเศษ Lancer EX WHITE PEARL Edition
ก็จะต้องรีบปล่อยออกมาขึ้นโชว์รูมกันได้ภายในช่วงต้นเดือน มีนาคม ที่จะถึงนี้กันซะที
แล้วต้องเลิกสร้างความสับสน ในการโฆษณา เพราะถ้าคิดจะขายรุ่นล่าง กับสาวออฟฟิศ
ตอนนี้ ถ้าจะคิดใหม่ ก็ยังทันอยู่นะ

ไม่เพียงเท่านั้น มิตซูบิชิ ยังต้องเร่งสร้างยอดขาย จาก รถกระบะดีไซน์ล้ำ (เกิน) อย่าง
Triton ไม่ให้ตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่า การปรับโฉม Minorchange
แบบ ปล่อยออกมาทีละขยัก นั้น ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรเลย แถมรังแต่จะสร้างความสับสน
ให้ลูกค้า ได้งุนงงเล่นกันมากกว่า ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือการเตรียม
ปรับโฉมขนานใหญ่ Big-Minorchange ให้กับ ไทรทัน ซึ่งควรจะเกิดขึ้น อย่างเร็วที่สุด
ในช่วง เดือนสิงหาคมนี้ และอย่างช้าที่สุด คือ มีนาคม 2011

ด้านโครงการใหม่ๆ นั้น ยังอยู่ในสภาพลูกผีลูกคนอยู่ กว่าจะรู้แจ้งแจ่มชัดว่า มิตซูบิชิ
จะทำรถยนต์ขนาดเล็กกว่า แลนเซอร์ รุ่นใหม่ ที่ยังไม่เคยมีขายมาก่อน ในขนาดตัวถัง
ประเภทใด ระหว่าง ECO CAR ไปเลย ตามที่ยื่นขอรับสิทธิพิเศษจาก BOI ไปแล้ว หรือ
หันมาเล่นกับตลาด B-Segment 1.5 ลิตรเต็มตัว ในตลาดเมืองไทยกันต่อไป ก็คงต้องรอ
ไปถึง เดือนมีนาคม 2010 ถึงจะมีการเคาะออกมาเรียบร้อยได้ (เคลื่อนไหวได้ช้า
สมกับเป็น “งูเหลือมเขมือบวัว”  กันจริงๆ)

——————————————
NISSAN
2010 :  MARCH ใหม่ ครั้งแรกในโลก / NAVARA MINORCHANGE
           Vannette NV200 & ALL NEW URVAN แท็คทีมคู่ เดือน พ.ย.
2011 : MARCH BASED SEDAN & QASANA
2012 : LEAF!! & THE NEXT TIIDA X12C  
2013 : New Compact Sedan (TIIDA LATIO Replacement)

ปี 2009 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นสู่วันเวลาฟ้าใหม่ที่นิสสันรอคอย แม้จะไม่ได้ถล่มเปิดตัวรถรุ่นใหม่
ออกสู่ตลาดมากมายอย่างที่คิดเอาไว้ แต่การเริ่มต้นปีที่แล้วด้วย Teana Full Modelchange รหัสรุ่น J32
รหัสโครงการ L42F เมื่อ ช่วงกลางเดือนมีนาคม ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เกินความคาดหมาย
จนถึงขั้นทำให้ยอดขายของ เทียนา แซงเจ้าตลาดอย่าง Toyota Camry ขึ้นไปได้เป็นผลสำเร็จครั้งแรก
ในรอบหลายปี จะว่าไปแล้ว ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ โตโยต้าเอง ก็ลดกำลังการผลิตของ แคมรี ลง
เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเปิดตัว Camry HYBRID ในช่วงเดือนสิงหาคม และนั่นทำให้ ลูกค้า
เทความสนใจมายังเทียนา เยอะกว่าที่คาดคิดไว้นิดหน่อย (ก่อนที่จะโดน Camry HYBRID
ทวงแชมป์คืนไปเป็นผลสำเร็จ หลังเดือนกันยายนเป็นต้นมา)

นอกจากนั้น ก็ยังมีรุ่นกระตุ้นตลาด ภายในสีดำ เปิดตัวออกมาพร้อมกันในช่วงงาน Motor Expo
พร้อมกับ TIIDA Nismo 5 ประตู รุ่นตกแต่งพิเศษ (แต่ใส่ล้อ 15 นิ้วเหมือนเดิม?) ไปจนถึง
Navara Calibre ขับสองยกสูง รุ่นเกียร์อัตโนมัติ สีขาว  ทั้งหมดนี้ เปิดตัวพร้อมๆกันกับ
การกลับมาทำตลาดอีกครั้งของ X-Trail รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange จากโรงงาน
ของนิสสัน ในอินโดนีเซีย ที่ยกมาแค่รุ่น ขับล้อหน้า วางเครื่อง 2.0 ลิตร แถมเชื่อมเกียร์ CVT
ยกชุดมาจาก เทียนา 2.0 ในบ้านเราเป๊ะ รวมทั้ง ยังมีการประกาศทำตลาด รถสปอร์ต 370Z นำเข้า
สำเร็จรูปทั้งคันจากญี่ปุ่น ครบทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ ชนิดที่ไม่ต้องรอให้
ผู้นำเข้ารายย่อยเก็บกวาดยอดขายแต่เพียงลำพังกันอีกต่อไป


แต่ไฮไลต์สำคัญของนิสสัน ในปี 2010 คือการเตรียมเปิดตัว รถยนต์ ECO Car คันแรก
ที่ได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และทั้งที่ตัวรถยนต์ เป็นแบบแฮตช์แบ็ก
ที่มีขนาดตัวถัง ใหญ่อยู่ในกลุ่ม Sub-Comapct B-Segment เหมือน Toyta Yaris คันนี้  

ฟังดูแล้ว งงใช่ไหมครับ? ไม่ต้องสงสัยไปเลย อ่านดีๆ เพราะในเมื่อ โจทย์ ของ
ECO Car นั้น ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีการจำกัดขนาดตัวถัง ดังนั้น ใครจะทำตัวถังรถ
ให้ใหญ่แค่ไหน หรือเล็กอย่างไร ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ต่อให้นำรถยนต์ขนาดเท่า
Toyota Yaris มาเป็นพื้นฐาน ถ้าใส่เครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1.2 ลิตรเข้าไป หรือ
ดีเซลไม่เกิน 1.4 ลิตร เข้าไป และสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับ
20 กิโลเมตร/ ลิตร (ทดสอบที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เพียงเท่านี้ รถคันนั้น
ก็จะถือเป็นรถ ECO Car ได้แล้ว

และ นิสสัน กำลังจะทำแบบนั้น ด้วยการนำ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange
ของ Nissan March หรือ Micra รถยนต์ Sub-compact Hatchback รุ่นดังในญี่ปุ่น และยุโรป
กลับมาทำตลาดในบ้านเราอีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 1986-1987 แถมคราวนี้ ไทยยังได้รับเกียรติ
ให้เป็นประเทศแรกในโลก ที่จะได้เปิดตัวมาร์ช เจเนอเรชันที่ 4 รุ่นใหม่ล่าสุดเป็น
ครั้งแรกในโลก ก่อนตลาดญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ!!

และเมื่อถึงวันนี้ หลายฝ่ายที่เคยสับสน ว่า นี่คือการจับมาร์ช รุ่นปัจจุบัน มาย่อร่างให้เล็กลง
หรือ DOWN-SIZING หรือเปล่านั้น บัดนี้ ถึงเวลาตาสว่างได้แล้ว เพราะงานนี้ นิสสัน
เลือกจะพัฒนามาร์ชใหม่ภายใต้รหัสโครงการ X02A ให้เข้ากับพิกัด ECO Car โดยสร้าง
ตัวถังให้มีขนาดใหญ่กว่า มาร์ชรุ่นปัจจุบัน ซึ่งทำตลาดในญี่ปุ่น นิดเดียว และมีการดัดแปลง
เส้นสายตัวถังให้ดูกลมกลืนและร่วมสมัย เน้นเอาใจลูกค้าสุภาพสตรีมากยิ่งขึ้นกว่ารถยนต์
ขนาดเล็กรุ่นอื่นใดของนิสสัน ช่วงก่อนหน้านี้

การกลับมาคราวนี้ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่นิสสันตั้งใจจะแก้ปัญหาที่มีอยู่ในตลาด
รถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยการผลักดันให้ มาร์ช กลายเป็น GLOBAL PRODUCT อย่างแท้จริง
ในทั่วโลก โดยไทยจะถูกยกระดับความสำคัญในฐานะเป็นโรงงานหลัก MOTHER PLANT
สำหรับการผลิตรถเล็กรุ่นใหม่นี้ ไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลก ถือเป็นแผนของนิสสัน ที่หวังจะ
ปูทางตลาดรถยนต์ ECO CAR ในไทย

แม้ตัวถังจะใหญ่โต เท่ากับ Toyota Yaris แต่จุดขายสำคัญ ของ March ใหม่ จะอยู่ที่
ความกว้างสบายของห้องโดยสาร ขนาดที่ คนตัวใหญ่ 2 คน นั่งบนเบาะหน้า และเบาะหลัง
พร้อมกัน 2 คนได้สบายๆ โดยไม่มีใครอึดอัดเลย แถมยังมีฟังก์ชันจุกจิก เอาใจคุณผู้หญิง
ที่ต้องการรถเล็กไว้ขับใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ

เครื่องยนต์สำหรับเวอร์ชันไทย จะเป็นบล็อก 3 สูบ 1,200 ซีซี  คาดว่าจะมีกำลังอยู่ในระดับ
70-80 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด น่าจะป้วนเปี้ยนระหว่าง 100 – 110 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน
ล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันญี่ปุ่น
จะยังโชคดี ได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 1,200 ซีซี เทอร์โบ กันอีกด้วย
ที่น่าเศร้านิดหน่อยก็คือ เครื่องยนต์ทั้ง 2 จะถูกผลิตขึ้นในเมืองไทย แต่เวอร์ชัน เทอร์โบ
อาจจะไม่สามารถส่งขายในเมืองไทยได้ เนื่องจาก ไม่ผ่านข้อจำกัด ECO Car และหาก
จะขายกันจริงๆ ต้องตีความเป็นรถยนต์นั่งขนาดปกติ ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมด้านภาษี
ซึ่งจะทำให้ราคาทะลุไปจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้ อย่างมาก

กำหนดขึ้นสายการผลิตและเปิดตัวในเมืองไทย อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2010 ถือเป็น
รถยนต์รุ่นสำคัญ ที่น่าจับตาที่สุดของปีนี้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวแว่วมาว่า ในช่วงแรก
อาจจะมีเฉพาะ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ออกมาก่อน เพราะต้องรอความพร้อมในการ
ผลิตเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกนิด จึงจะพร้อมส่งมอบในอีก 1-2 เดือนให้หลัง
ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจเสียโอกาสในการขายไปได้เยอะมาก และอาจ
ทำให้สร้างกระแสได้ช้าไปกว่าที่ควรเป็น

หลังจากนั้น ช่วงกลางปีไปแล้ว น่าจะมีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ครั้งใหญ่ ให้กับ
รถกระบะ NAVARA งานนี้ ไม่เพียงแต่จะปรับกระจังหน้า ให้คล้ายคลึงกับ
กระจังหน้าของเอสยูวีรุ่น Pathfinder Minorchange ปี 2008 แล้ว ยังต้องดูกันต่อไปว่า
จะมีการอัพเกรดสมรรถนะของเครื่องยนต์ YD25DDTi รุ่นท็อป 174 แรงม้าให้
มีเรี่ยวแรงในช่วงออกตัว เพิ่มขึ้นอีกจากเดิมอีกหรือไม่

เดือนพฤศจิกายน นิสสัน จะกลับมาบุกตลาดรถตู้ เพื่อการพาณิชย์ อีกครั้ง คราวนี้
จะแท็คทีม บุกพร้อมกันเป็นคู่ ทั้ง Nissan Vannette NV200 รถตู้ไซส์กลาง ที่เปิดตัว
ในญี่ปุ่นไปแล้ว เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา กับ Nissan New Urvan รุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange  ที่คราวนี้ หมายจะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจาก Toyota Hiace
และ Commuter มาให้ได้ กำหนเปิดตัวในญี่ปุ่น จะเกิดขึ้นช่วงกลางปีนี้ และน่าจะ
มาถึงเมืองไทย พร้อมกับ NV200 คือช่วงเดือนพฤศจิกายน 2010

จากนั้น เว้นช่วงไปจนถึง ปลายปี 2010 ถึงต้นปี 2011 เวอร์ชันซีดาน 4 ประตู ของ March
รหัสโครงการ L02B จะคลอดตามออกมา โดยยังคงสับสนกันอยู่ว่า จะใช้เครื่องยนต์
ที่ใหญ่กว่า ในพิกัดขนาด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร หรือยังจะยืนหยัดกับเครื่องยนต์
1.2 ลิตร จาก รุ่น 5 ประตู แต่อย่างไรเสีย ภาระกิจหลักของ March Sedan คือ ต้องออกมา
ประกบทั้ง Mazda 2 Sedan และ Ford Fiesta Sedan แล้วไหนยังจะต้องประกบกับ
คู่แข่งตัวพ่อในตลาด ทั้ง Toyota Vios Honda City ไปจนถึง Chevrolet Aveo อีกด้วย
นับว่าเป็นศึกหนักไม่น้อยเลย

รวมทั้ง Qasana Compact Crossover SUV คันขนาดเล็ก ในฐานะ รุ่นน้องของ Qashqai
ที่ใช้เครื่องยนต์ระดับ 1.6 ลิตร และจะขึ้นสายการประกอบ ในอินโดนีเซีย เพื่อจะ
ส่งมาขายเมืองไทย ในช่วงปลายปี 2011 – 2012  ว่ากันว่า คันจริงจะถอดแบบมาจาก
เวอร์ชันต้นแบบ ชนิดเกือบไม่ผิดเพี้ยน และรถคันนี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถือเป็นการเปิดตลาดกลุ่มใหม่ในเมืองไทย คือ ครอสโอเวอร์ SUV 1.6 ลิตร
ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ส่วนความเคลื่อนไหวที่ไกลห่างออกไป และยังสามารถเลื่อนเข้าออกได้อยู่ คือ
รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ TIIDA ที่คาดว่าน่าจะมีความกว้างมากขึ้น
เครื่องยนต์มีกำลังแรงขึ้น แต่ประหยัด และเป็นพิษต่อโลกน้อยลง กว่าจะพร้อมเปิดตัว
ปาเข้าไป ปี 2012

อีกคันหนึ่ง ที่ค่อนข้างเป็นไปได้สูงมากว่า น่าจะมาบ้านเรา คือ รถไฟฟ้า LEAF
ที่เพิ่งจะเผยโฉม สู่สายตาชาวโลก ไปในปีที่ผ่านมานี้เอง รถคันนี้ แล่นด้วย
พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ จากแบ็ตเตอรี ลิเธียม ไอออน แล่นได้ระยะทางสูงสุด
160 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขนาดตัวถัง ให้นึกถึง TIIDA 5 ประตู ที่ขยายให้ยาวกว่านิดนึง และเตี้ยกว่า
นิดหน่อย และกว้างกว่าอีกเล็กน้อย มีกำหนดจะเปิดตัวในเมืองไทย น่าจะ
อยู่ในช่วงปี 2012 ซึ่งเท่ากับว่า จะทำให้ นิสสัน กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์
รายแรกในไทย ที่สั่งเอารถไฟฟ้าทั้งคัน โดยไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปช่วยขับเคลื่อน
มาทำตลาดในบ้านเรา อย่างแท้จริง!!

และสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายที่สุด รถยนต์ Cmpact Sedan รุ่นใหม่ ที่จะต้องจับเอา
TIIDA LATIO  รวมทั้ง Sentra สำหรับอเมริกาเหนือ และ Bluebird SYLPHY
 มารวบเข้าด้วยกัน กลายเป็นซีดานรุ่นใหม่ เหลือเพียงคันเดียว ซึ่งรายละเอียด
ต่างๆ ยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร เพราะกว่าที่รถรุ่นนี้จะคลอด ต้องรอไปไกลถึงปี 2013

——————————————

PEUGEOT
RCZ สัก 3.5 ล้านคุณจะซื้อไหม

หลังจากต้องปรับตัวเองจากรถยนต์ยุโรปสำหรับลูกค้าทั่วไป จนกลายเป็นรถยนต์ระดับ
พรีเมียม รองรับกลุ่มลูกค้าแนวไฮโซ ที่ชอบของแปลก ไปเรียบร้อย ทั้งจากความไม่คุ้มค่า
ต่อการลงทุนขึ้นสายการประกอบในประเทศ เพราะยอดขายน้อย ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่อง
มาจาก บริการหลังการขายที่ไม่ได้ใจลูกค้า แถมอะไหล่ยังแพง อย่างไรก็ตาม เปอโยต์
ก็ยังพอจะมียอดขายจาก 407 และ 207CC เข้ามาให้ชื่นใจกันได้บ้างเล็กน้อย แม้จะเพิ่ง
เปิดตัว 308 Turbo และ 308CC กันไปในปีนี้ และยังพอมีลูกค้าอุดหนุนกันไปบ้าง

ในปีนี้ รอดูรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด RCZ ที่คาดว่าจะถูกสั่งเข้ามาขายในระดับราคา
ประมาณ 3.5 ล้านบาท คาดกันว่าน่าจะถูกกว่า Audi TT ประมาณ 1 ล้านบาท ถ้าเป็นไปได้  
และรถคันนี้น่าจะช่วยสร้างสีสันให้กับแบรนด์เปอโยต์ในไทยขึ้นมาได้บ้าง เพาะดีไซน์
ภายนอกที่สวยเฉียบแบบนี้ ไม่เคยมีมาในรถค่ายสิงห์เมืองน้ำหอม มานานแล้ว

——————————————

PORSCHE
Boxster Spider และ Panamera V6 อุดตลาดล่าง

AAS ผู้นำเข้ารถสปอร์ตชั้นดีจากเยอรมัน ขยันสร้างทำตลาดปอร์เช่ กัน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การนำเข้า
911 Minorchange เมื่อปลายปี 2008 ต่อเนื่องด้วย Panamera สปอร์ตซาลูนรุ่นแรกในประวัติศาสตร์
ของปอร์เช่ ยังไม่นับรุ่น Boxster และ Cayman Minorchange ที่เจาะตลาดวัยรุ่นไฮโซอยากขับรถสนุกๆ

ในปีใหม่นี้ Boxster Spider ขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.4 ลิตร น่าจะเรียกลูกค้ากระเป๋าหนักที่รักในความแรง
แบบท้าสายลม รวมทั้ง รุ่นย่อมเยาว์ของ สปอร์ตซาลูน Panamera ที่วางเครื่องยนต์ V6 ซึ่งจะช่วย
เข้ามาอุดช่องว่างในใจลูกค้า ที่อยากได้รถรุ่นนี้ ในราคาที่ย่อมเยากว่า ไม่น่ายาก ขอเพียงมีออพชัน
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เพียงพอ

——————————————
PROTON
SAGA จะมาไหม?

ผู้ผลิตจากแดนเสือเหลือง อันมีพรมแดนเชื่อมติดกับเมืองไทย ฉวยจังหวะที่ Honda
ไม่อาจสร้างกระแส มินิแวนรุ่น Freed ให้ดังเปรี้ยงได้อย่างที่คิด ส่ง Exora
มินิแวนรุ่นล่าสุดของตน ที่เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดมาเลเซีย กลางปีที่ผ่านมา บุกตลาด
รถยนต์บ้านเรา ด้วยราคารุ่นท็อปที่ถูกเพียง 729,000 บาท และพอจะได้รับยอดจอง
จากลูกค้าในงาน Motor Expo อยู่บ้าง พอกันกับเสียงก่นด่า จากลูกค้าหลายราย
ที่เริ่มพบว่า อะไหล่ของรถรุ่น Savvy เริ่มจะแพงเกินเหตุ ถึงขนาดลงทุน เดินทาง
ไปซื้ออะไหล่กันเอาเอง ยังประเทศมาเลเซีย ก็มีมาแล้ว

ปีนี้ นอกจาก โปรตอน จะต้องมองดูลู่ทางในการนำเข้า ซีดานคันเล็ก รุ่น Saga
หรือถ้าพูดอีกที ก็คือ Savvy เวอร์ชัน ซีดาน แต่ วางเครื่องยนต์ CAMPRO 4 สูบ
1,300 ซีซี 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 120 นิวตันเมตร ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่
18 มกราคม 2008 และประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยยอดจองถึง 23,000 คัน
และต้องคอยคิวยาวกันนานถึง 5 เดือน ในช่วงเปิดตัว เข้ามาทำตลาดในบ้านเราแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่พระนครยนตรการ ผู้จำหน่ายโปรตอนในเมืองไทย สมควรทำมากที่สุด
ในระยะสั้นอย่างนี้ คือการเอาใจใส่ กับบริการหลังการขาย และราคาอะไหล่ รวมทั้ง
เข้าถึงใจของลูกค้า ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะนี่คือรากฐานสำคัญของการทำตลาด
รถยนต์ในเมืองไทย มิเช่นนั้นแล้ว หากยังปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างนี้ ตอนจบ
อาจจะมาถึงเร็ว และอาจจะไม่สวยงามอย่างที่คิด ก็เป็นได้

——————————————–

ROLLS-ROYCE
ใครอยากเลี้ยงผี เตรียมสั่งซื้อได้เลย

ผีที่ว่า ไม่ได้หมายถึง ผีกระสือ ผีกระหัง หรือ เด็กผี อะไรทั้งสิ้น
เรากำลังหมายถึง Rolls-Royce GHOST รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ
ในงาน Frankfurt Motor Show ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ ถ้าใครอยากได้
ก็คงต้องติดต่อผู้จำหน่ายในบ้านเรากันได้เลย เพราะรถแบบนี้
ไม่มีหรอกครับ งานเปิดตัวหนะ แล้วก็อย่าลืมทำประวัติของคุณให้ใสสะอาด ด้วยนะครับ

เพราะซื้อรถยี่ห้อนี้ มีสอบเช็คประวัติเก่าๆ ทุกราย!

——————————————–
SSANGYONG
ขายของเก่าไปเรื่อยๆ?

นี่ก็เป็นอีกรายที่ยังไม่มีแนวโน้มจะสั่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆเข้ามา อย่าว่าอย่างนั้นเลย
ขนาดบริษัทแม่ในเกาหลีใต้เอง ยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อให้ หลุดพ้น
จากการล้มละลาย จนลูกจ้างในโรงงานต้องออกมาก่อหวอดประท้วงวุ่นวานไปเลย

ดังนั้น สิ่งที่ ซางยอง ทำอยู่ คือ เน้นการบริการหลังการขายเป็นหลัก และปล่อยให้
โชคชะตา ของรถยนต์รุ่นใหม่เหล่านั้น ขึ้นอยู่กับตลาดโลกและบริษัทแม่ในเกาหลี
ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่า จะประคองกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้นานสักแค่ไหน?

——————————————–

SUBARU
NEW LEGACY 2.5GT & OUTBACK 2.5 ลิตร
IMPREZA Minorchange?

ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และวิกฤติราคาน้ำมันไปบ้าง
แต่เอาเข้าจริง ยอดขายของ ซูบารุในการดูแลของ มอเตอร์ อิมเมจ ในเครือ
ตันจงกรุ๊ป จากสิงค์โปร์ ยังคงไม่กระเทือนมากอย่างที่คิด เพราะมีลูกค้าหลั่งไหล
เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยยอดขายหลักมาจาก Impreza ใหม่ แฮตช์แบ็ก 5 ประตู ทั้งรุ่น
1.5 1.6 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร WRX  ซึ่งโดนใจผู้หญิงมากขึ้นกว่ารถรุ่นก่อน
ขณะที่รุ่นอื่นๆ อย่าง Forester Modelchange ที่ตั้งราคาได้กระชากจิต 1.69 ล้านบาท
ในรุ่น 2,000 ซีซี ไม่มีเทอร์โบ พวงงมาลัยไฟฟ้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ก็ยังขายได้เรื่อยๆ จากกลุ่มลูกค้าที่เบื่อ Honda CR-V เต็มทน หลายราย
ไม่เว้นแม้แต่ อิมเพรสซา WRX STi ที่ขายไปได้แล้วถึง 5 คัน

ส่วนรถใหม่ในปีที่ผ่านมา นอกจาก Impreza ANESIS เวอร์ชัน 4 ประตู
ของ อิมเพรสซา ที่หาความงามจากบั้นท้ายรถไม่เจอ ก็ดูจะมีแต่
Legacy 2.0 ลิตร ใหม่ล่าสุด เกาะติดตลาดญี่ปุ่น เปิดตัวในไทย
ทิ้งช่วงกันแค่ ครึ่งปีเท่านั้นเอง เราก็ได้สัมผัสคันจริงกันไปแล้ว
ในส่วน “Review By  J!MMY ที่ Headlightmag.com” ว่ามีบุคลิก
ประมาณ “ป้าอ้วน (จอมประหยัดผิดหูผิดตา)” เปิดตัวควบคู่กับ
การนำนักขับ Stunt ชื่อ Russ Swift มาโชว์ลีลาการขับพาดโผน
ใน Motor Expo ครั้งที่ผ่านมา

ปี 2010 นี้ มอเตอร์ อิมเมจ เล็งจะนำเข้า Legacy 2.5 GT เครื่องยนต์
4 สูบนอน Boxer 16 วาล์ว 2.5 ลิตร Turbo มาเอาใจ ชายวัยกลางคน
ที่อยากได้รถขับสุภาพ ดูมีมาด แต่เกรี้ยวกราดได้ทุกเมื่อ รวมทั้ง
ยังมีรุ่น Outback 2.5 ลิตร สำหรับคนที่รักการเดินทางไกลในต่างจังหวัด
ด้วยรถสเตชันแวกอนแบบยกสูงนิดหน่อย ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมาถึงท่าเรือ
เมืองไทย ในช่วงเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป
 
แต่ถ้าใครที่คิดจะซื้อ อิมเพรสซา แล้วละก็ รอดูรุ่นปรับโฉม
ไมเนอร์เชนจ์ สักหน่อยก็ดี โดยเฉพาะรุ่น WRX ซึ่งจะ
มีสมรรถนะ กระโดดไปไกลจากรุ่นปัจจุบันเป็นอันมาก
ควบคู่ไปกับป้ายราคา ที่อาจพาให้หัวใจสลายไปได้ไม่ยากเย็น

——————————————–

SUZUKI  
2010 : SX4 จะมาหรือไม่?
2011 : ถ่ายอำนาจ สู่ SAMT เต็มตัว
2012 : ECO CAR PROJECT 9,500 ล้านบาท มาแน่ มี.ค 2012
อาาจะดีลกับ VW ขายควบคู่ พะ 2 แบรนด์??

ในที่สุด ความเคลื่อนไหวของ การทำตลาด รถเล็กชั้นดี จากเมือง Hamamatsu ก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว
เมื่อสิทธิ์ในการทำตลาดของกลุ่มสยามอินเตอร์ฯ หรือกลุ่มพรประภา กำลังจะหมดลงในปี 2010 นี้
บริษัทแม่ในญี่ปุ่นเอง ก็เล็งกันว่า อยากจะบุกตลาดรถยนต์นั่งอย่างจริงจังเสียที เลยไต่ถามกับ
ITOCHU บริษัท Trading Company ระดับ Top 5 ของญี่ปุ่น ว่าให้มาหาพาร์ตเนอร์ร่วมงานกันในไทย
ผลก็คือ มาคุยกับทาง บริษัทสี TOA ที่อยากจะเริ่มรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์บ้างแล้ว มาจับมือกันตั้ง
ดีลเลอร์รายใหม่ iTOA ขณะเดียวกัน ทางญี่ปุ่น ก็ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมารองรับในชื่อ Suzuki
Automobile MANUFACTURING Thailand (SAMT) เพื่อเตรียมก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์
ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ซึ่งถ้าทุกอย่างดำเนินไปอย่างลงตัวเช่นนี้ ในอนาคต ก็น่าจะ
มีความเป็นไปได้ในการร่วมงานกันระหว่าง SAMT กับ iTOA ที่ลึกซึ้งและแน่นแฟ้นยิ่งกว่านี้

ขณะเดียวกัน Grand Vitara APV และ Carry ยังต้องอยู่ภายใต้การทำตลาดของกลุ่ม
สยามอินเตอร์ฯ ตามเดิมต่อไป จนกว่า จะหมดสัญญาลงในช่วงสิ้นปี 2010 รถทั้ง 3 รุ่น
จึงจะถูกโอนย้ายมาให้ทาง SAMT กับ iTOA ดูแลกันต่อไป  โดยยังน่าจะนำเข้ามา
จากฐานการผลิตในอินโดนีเซียเช่นเดิม

นั่นทำให้ภาพอนาคตของ ซูซูกิ ในไทยชัดเจนยิ่งขึ้นว่า คราวนี้ ญี่ปุ่นจะเริ่มเอาจริงเอาจัง
กันเสียที หลังจากที่ปล่อยปละละเลยกันมานาน การเริ่มต้นเปิดตัว Swift กันอีกครั้ง
ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา ด้วยรถที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย ขายคันละ 599,000 – 649,000 บาท
ก็ช่วยจุดพลุให้กระแสความนิยมรถรุ่นนี้ เริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากหายเงียบไปนาน

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ แผนต่อไปที่ ซูซูกิ คิดเอาไว้ว่าอยากจะส่ง Crossover
Compact Hatchback รุ่น SX4 เข้ามาขายในบ้านเรา เพื่อเพิ่มการรับรู้ของตลาด
ในระยะยาว ถึงการมีตัวตนอยู่ของแบรนด์นี้ ว่า ท้ายที่สุดแล้ว จะเอาเข้ามาหรือไม่
และอย่างไร

แต่กับโครงการ ECO CAR ยังคงลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เช่นเดิม เพราะแม้จะมีการยื่นขอรบ
สิทธิพิเศษการลงทุนจาก BOI รวมทั้งประกาศแผนลงทุนกว่า 9,500 ล้านบาท และเริ่มวางศิลาฤกษ์
ตอกเสาเข็ม โรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดระยองไปแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วย
ความคลุมเครือ ว่ารถยนต์รุ่นใดกันแน่ที่ซูซูกิ จะเอาเข้ามาประกอบขาย บางกระแสข่าว บอกว่าเป็น
Swift เจเนอเรชันต่อไป ซึ่งมีกำหนดคลอดในช่วง ปี 2010 ที่จะถึงนี้ แต่ดูแล้ว ก็ยังไม่แน่ชัดว่า
จะเป็นไปตามนั้นได้จริง

ยิ่งเมื่อตอนนี้ Volkswagen เข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยของ ซูซูกิ ด้วยแล้ว แถมทั้งคู่ยังประกาศ
ความเป็นไปได้ ในการร่วมกันสร้างรถยนต์ขนาดเล็ก เพื่อตลาดใหม่ ที่ตนยังไม่เคย
เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าฉงน และส่อแววว่า มีความเป็นไปได้
ที่ ซูซูกิ อาจจะประกอบรถเล็กรุ่นใหม่ของตน แล้วพะแบรนด์ ทั้งของตนเอง และของ
โฟล์กสวาเกน  ร่วมกันแท็คทีมทำตลาดทั่วโลก ด้วยก็อาจเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม ซูซูกิ ออกมาประกาศ ย้ำชัดแน่นอนแล้วว่า ECO Car ของ ซูซูกิ พร้อมจะ
เปิดสายการผลิตได้อย่างแน่นอน ในเดือนมีนาคม 2012

——————————————–

TATA MOTORS
2010 : Commercial Brand?
แล้ว NANO กับ ECO CAR? จะเอาไงเนี่ย?

การประกาศบุกตลาดในเมืองไทยเต็มตัวเป็นครั้งแรก ณ งาน Bangkok Motor Show
เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2008 คือจุดเริ่มต้นของ ทาทา ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าจะเตรียมงานกันมาก่อนหน้านั้นถึง 2 ปีด้วยกัน แต่ ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่า ทาทาเอง ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ในการพัฒนารถยนต์ ที่ถูกรสนิยมของคนไทย

เพราะรถกระบะ ซีนอน ที่ออกมาในช่วงแรกๆนั้น แม้จะมีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ DICOR
2,200 ซีซี แต่ให้กำลังสูงถึง 140 แรงม้า และมีระบบกันสะเทือนที่ทำได้ดีเมื่อเทืยบกับคู่แข่ง
แต่ด้วยมีปัญหามากมายนานับประการ ทั้งจากชิ้นส่วนในการประกอบของตัววรถเอง และ
ความไว้เนื้อเชื่อใจในผู้จำหน่าย กับบริการหลังการขาย ทำให้ การเริ่มต้นของ ทาทา
ยังไม่สู้ดีนัก แม้ในช่วงปลายปี จะกระตุ้นตลาดอีกครั้ง ด้วย เวอร์ชัน ติดตั้งระบบก๊าซ CNG
มาให้จากโรงงาน และเติมก๊าซได้อย่างเดียว ด้วยเครื่องยนต์ DICOR 2,100 ซีซี ลดกำลังลงเหลือ
115 แรงม้า รวมทั้ง ออกรถบรรทุกเล็กอย่าง ทาทา เอซ (ACE ในงาน มอเตอร์เอ็กซ์โป
แล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันบริษัทแม่ในอินเดีย ก็เจอมรสุม
การประท้วง จนทำให้ ราทัน ทาทา นายใหญ่ ประกาศย้ายฐานการผลิต ทาทา นาโน รถคันจิ๋ว
แต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขั้นเทพ 20 กว่าสิทธิบัตร ของตน ไปไว้ในเมืองอื่น เพื่อยุติปัญหา
ความรุนแรง

ปี 2009 ที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดตัว รถบรรทุกขนาด 1 ตัน ทาทา เอซ (ACE) ที่จะเอามา
ประกบกับ เกีย K2700 และ ฮุนได H-100 แล้ว ทาทา ก็แทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดอีกเลย

ความเคลื่อนไหวที่เด่นชัดสุด คือการนำ Tata Nano รถเล็กสุดฮือฮา กับ 37 สิทธิบัตรนวัตกรรม
มาอวดโฉมในงาน Motor Expo ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กระนั้น ก็ยังมีคำถามว่า รถรุ่นนี้
จะเอาเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา ตามโครงการ ECO Car หรือเปล่า? เพราะ ทาทา เองก็ยื่นขอ
รับสิทธิพิเศษ ส่งเสริมการลงทุน รถยนต์ประเภทนี้ไปกับทางรัฐบาลแล้ว ที่ผ่านมา มีคำถาม
หยั่งกระแสกันในอินเตอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆว่า ถ้านำ Tata Nano Europa อันเป็นเวอร์ชันส่งขาย
ยุโรป ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงกว่าเวอร์ชันอินเดียแท้ๆ มีถุงลมนิรภัยมาให้ฝั่งคนขับ
แต่เป็นดรัมเบรกทั้ง 4 ล้อ ขายในราคา 220,000 บาท คนไทยจะรับได้หรือไม่ ผลตอบกลับที่ได้
ส่วนใหญ่ก็คือ รถคันนี้ไม่ควรมีราคาเกิน 2 แสนบาท และอย่างน้อย ควรมีดิสก์เบรกหน้า
ได้แล้ว ไม่ใช่ดรัมเบรก 4 ล้อ ดังนั้น ประเด็นนี้ จึงยังคาราคาซังกันต่อไปน่าจะอีกอย่างน้อย 1 ปี

อย่างไรก็ตาม อีกกระแสข่าวฝั่งอื่น ต่างมองว่า ทาทา อาจจะกำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก
รุ่นใหม่ๆ ที่จะต้องเตรียมบุกตลาดโลก และหวังจะใช้เมืองไทย เป็นฐานการผลิตรถรุ่นใหม่
ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดอยู่ในกลุ่ม ไม่เกิน Sub-Compact B-Segment ก่อนหน้านี้ มีเพียงข่าวที่ว่า
จะนำรถรุ่น Indica กับ Indico เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เข้ามาประกอบขาย ในเมืองไทย
แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ในประเด็นดังกล่าวออกมาชัดเจนเท่าใดนัก

มีเพียงแค่ การประกาศตัวแล้วว่า ในช่วงต่อจากนี้ จะพยายามเน้นวางจุดขายตัวเองเป็น
Commercial Vehicle Brand หรือเป็นแบนด์ที่มุ่งเน้นเจาะตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ เป็นหลัก
จะสำเร็จลุล่วงไปได้แค่ไหนอย่างไร จะสนุกสนาน ไม่แพ้ หนังอินเดีย ที่แดนซ์ข้ามภูเขา
กันสนั่นทุ่ง หรือไม่ ยังต้องติดตามชมกันต่อไปอีกนาน

——————————————

TOYOTA / LEXUS
2010 : VIOS MINOR CHANGE , YARIS Nanochange & VIGO Nanochange
2011 : PRIUS & PRIUS Plug-in HYBRID, NEW HILUX VIGO BIG-Minorchange
2012 : ALL NEW CAMRY , NEW VIOS 
2013 : ALL NEW Corolla ALTIS
2014 : ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) , ECO CAR?

Take a Closer Look to ETHIOS

ปี 2009 เป็นปีที่ Toyota ประเมินผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เอาไว้มากกว่าที่เป็นจริง
ทำให้ ในช่วงต้นปี ทีมงานที่สำโรง ต้องง่วนอยู่กับการปรับตัวภายในองค์กร ตั้งแต่การยกเลิก
การเช่าพื้นที่ ตึกออลซีซัน ไป 1 ชั้น ปลดลูกจ้างชั่วคราวในไลน์ผลิตออกไปเยอะ (ก่อนจะ
เริ่มรับกลับเข้ามาใหม่ ช่วงกลางปีเป็นต้นมา) จนสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

รถที่ยังพอจะขายดีที่สุดในกลุ่มของตนเองอยู่ ตลอดปีนี้ ก็มีแค่ Toyota Vios ที่ยังไงๆ
Honda City ใหม่ก็โค่นไม่ลง ด้วย 2 เหตุผลหลักคือ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถไปใช้ขับทำงาน
หรือรถประจำบริษัท ซึ่งไม่สนใจคุณงามความดีของรถ นอกจากความทนไม้ทนมือ
กับอีกกลุ่มคือ รอคิวจองของ City ที่ยาวนาน 3 เดือนไม่ไหว แค่นั้นเลย

ต่อมาคือ Toyota Fortuner ที่ยังขายได้เรื่อย ครองอันดับ 1 ในกลุ่ม Pick-up Based SUV
ได้ตลอด ชนิดที่ใครมากัดมาตอด ก็ฟันหักไปก่อน เพราะเนื้อเขาเหนียว กระดูกเขาดีจริงๆ

และอีกรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทะลาย คือ Camry HYBRID อันเป็นผลมาจาก
การเตรียมแผนเปิดตัวสร้างกระแสต่อเนื่อง ตั้งแต่รถยังไม่เปิดตัว ถึง 3 เดือน ปูพรมการรับรู้
ให้ผู้บริโภคเข้าใจ ในเทคโนโลยีอันล้ำหน้า และการเตรียมพร้อมด้านบริการหลังการขาย
และความตั้งใจครั้งแรกในการประกอบรถยนต์ไฮบริดในเมืองไทย ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็คือ
ยอดขายทะลุเป้า จากเดิมที่ตั้งไว้เดือนละ 1,000 คัน ตอนนี้ ไปทางไหนก็เจอแต่ แคมรี ไฮบริด
เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดจริงๆ งานนี้ ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องสมความตั้งใจ เล่นเอา
แคมรี 2.0 ยอดขายหดหาย เข้าขั้นหงอยเหงาไปเยอะ จนต้องออกรุ่น 2.0 Extremo
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม กระตุ้นยอดกันสักหน่อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรุ่นขายดี ก็ต้องมีรุ่นขายกันเหนื่อย Toyota Yaris Minorchange
คือรถรุ่นแรกที่อยู่ในข่ายนี้ แม้จะพยายามกระตุ้นยอดด้วยการปรับโฉมไป เมื่อมีนาคม
ที่ผ่านมา จัดงานเปิดตัวหน้าเซ็นทรัลเวิล์ด แต่ด้วยเหตุที่ เปลี่ยนหน้าตาได้ไม่เยอะ
ไปกว่าเวอร์ชันญี่ปุ่นที่ขายกันล่วงหน้าไปก่อนไทย ทำให้รักษายอดขายได้เต็มที่สุด
คือเดือนละ 800-900 คัน ซึ่งน้อยมากจนทำให้ Mazda 2 ที่ทำแคมเปญเปิดตัวรุนแรงกว่า
เบียดขึ้นนำได้ในเวลาเพียงแค่ 15 วันแรกที่ออกสู่ตลาด! เป็นความล้มเหลว ที่ไม่ต้องไป
โทษใคร นอกเหนือจากความสดใหม่ของตัวรถ และการออกแบบภายใน ที่ยังไม่ดีพอ

ส่วน Hilux VIGO 2.5 VN Turbo Prerunner ที่ชูคติว่า แรงเท่า 3 พัน แต่จิบแค่ 2 พัน 5  
ต้องเปิดตัวออกมาในช่วงขาลงของตลาดรถกระบะ อีกทั้งยังเป็นผลต่อเนื่องมาจากการ
ปรับโฉม Minorchange เมื่อเดือนกันยายน 2008 ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ ยังไม่รู้สึกว่า ต่อให้
มีบานแค็บเปิดได้ แต่ภาพรวม ตัวรถก็ไม่ได้ดูแปลกใหม่มากมายอย่างที่ควรเป็น ผลก็คือ
ยอดขาย ยังพอไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่หวือหวามากมายเท่ากับช่วงแรกๆที่วีโก้เปิดตัวในบ้านเรา

ยังไม่นับกับการสั่งนำเข้ารถตู้อัลฟาร์ด เข้ามาทำตลาดแทนเกรย์มาร์เก็ตเสียเอง แต่ตั้งราคาไว้
ดุเดือดไปหน่อย 3.39 – 4 ล้านบาทต้นๆ เพราะใช้เครื่องยนต์ V6 3,500 ซีซี บล็อกเดียวกับ
Camry V6 แต่ปรับตัวเลขแรงม้าให้ลดลงมา จนผ่านป 1 ปี ต้องหารุ่น 2.4 ลิตร อัดออพชัน
สั่งเข้ามาลุยกันต่ออีกรอบ เพื่อแก้จุดด้อยเดิม ในเรื่องความคุ้มค่าในสายตาลูกค้ามีฐานะดี
 
และท้ายสุด คือ Innova รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่ได้อานิสงค์ จากการที่ลูกค้าบางส่วน ตัดใจจาก
Honda FREED แล้วหันมามอง มินิแวน บนโครงสร้างของ Vigo กันอีกครั้ง และ Corolla
ALTIS Advance CNG เกียร์อัตโนมัติ ทั้งคู่คลอดออกมา ในงาน Motor Expo ซึ่งเอาเข้าจริง
ก็ถือว่า ไม่ทันกับสถานการณ์ของตลาดเท่าที่ควร เพราะกระแสความต้องการรถยนต์ติดก๊าซ
จากโรงงานนั้น ไม่ได้หวือหวา เท่ากับช่วงที่ราคาน้ำมันแพงบรรลัยอีกแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการดี
ที่ออกรถรุ่นนี้ ในตอนนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่า อนาคตราคาน้ำมันจะผันผวนมากน้อยแค่ไหน
แถมยังออกมา ตีกัน Chevrolet Optra CNG และ Mitsubishi Lancer CNG (JT) ให้อยู่ในใจ
ลูกค้าประเภทที่มองหาแต่ความคุ้มค่าจนขึ้นสมอง ได้อีกด้วย

ช่วงครึ่งแรกของปีใหม่ 2010 นี้  ถึงเวลาแล้วที่ โตโยต้า จะต้องจัดการกับตลาด B-Segment
ซึ่งอยู่ในภาวะล่อแหลม ให้ดีขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ทั้งการเตรียมปรับโฉม Minorchange
ให้กับ Vios ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ และอย่าคาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลง
ไปเยอะกว่าหน้าตาของรุ่น BELTA ที่ขายกันอยู่ในญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน โตโยต้า อาจจะ
ต้องเตรียมกระตุ้นตลาด Yaris กันอีกรอบ ไม่ว่าจะคิดถอดใจกับการเตรียมแผนนำรุ่นต่อไป
ของแฮตช์แบ็กรุ่นนี้ เข้ามาขายอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม

นอกจากนี้ เราควรจับตาดู การเปิดตัวของ Toyota Ethios ในอินเดีย เป็นแห่งแรก
ในโลก ซึ่งมีแนวโน้มว่า ซีดานเล็กคันนี้ อาจมีความเกี่ยวพันกับการทำตลาดในเมืองไทย
ซึ่งยังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของรถรุ่นนี้ กันต่อไป

อีกทั้งยังจะต้องมีแผนปรับโฉม Minorchange ให้กับ Corolla ALTIS เพราะนี่จะครบ
วาระการทำตลาดกันแล้ว ถ้ายังปล่อยเอาไว้ต่อไป ยอดขายก็คงจะเป็นเบอร์ 2 รองจาก
Civic กันต่อไป (หากไม่นับรวมยอดขายจากตลาดรถ TAXI) คราวนี้ รูปโฉมของ
รุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้น จะมีเปลือกกันชนหน้า ที่มีงานออกแบบ เปลี่ยนไป โดย
จะมีช่องติดตั้งไฟตัดหมอกข้าง มาในแนวตั้งตรง คล้ายกับใน Prius รุ่นล่าสุด  
กำหนดการเปิดตัว ยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้

นอกจากนี้ โตโยต้า ยังคิดจะนำ รุ่นใหม่ล่าสุดของ รถยนต์ไฮบริดสุดฮิต Toyota Prius
เจเนอเรชัน 3 เข้ามาประกอบขายในเมืองไทย ช่วง ปลายปี 2010 – 2011 ด้วยราคาที่คาดว่า
จะอยู่ในระดับ พอกัน หรือต่ำกว่า Camry HYBRID นิดเดียว โดยในช่วงแรก จะเป็นรุ่น
มาตรฐาน และหลังจากนั้น อีกน่าจะราวๆ ไม่เกิน 6 เดือน รุ่น Plug-in HYBRID
เสียบชาร์จได้กับปลั๊กไฟในบ้าน ก็จะออกสู่ตลาดตามมาเป็นก๊อกสอง

ขณะเดียวกัน ปี 2011 ยังเป็นปีที่ โตโยต้า จะต้องปรับโฉมครั้งใหญ่ Big-Minorchange
ให้กับ Hilux VIGO กันอีกครั้ง และคราวนี้ โจทย์ก็คือ จะต้องเปลี่ยนหน้าตาให้สดใหม่
ฉีกไปจากรถรุ่นเดิม แต่ ต้องใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับรถรุ่นเดิม ให้มากที่สุด ปรับปรุง
คุณภาพชิ้นส่วนต่างๆ ให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องคงไว้ซึ่งการลดต้นทุนอย่างหนักที่สุด
เท่าที่จะทำได้ ตามสไตล์ของโตโยต้า เช่นเคย

จากนั้น ในปี 2012 จะถึงเวลาของการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ให้กับ Camry ใหม่ โดยเวอร์ชัน
ตลาดโลก จะแยกเป็น 2 หน้าตา เหมือนปัจจุบัน และเปิดตัวในปี 2011 ว่ากันว่า รูปลักษณ์ภายนอก
จะปรับให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่า และสวยงามไม่แพ้รุ่นปัจจุบัน คราวนี้ มาครบทีม รวมทั้งขุมพลัง
HYBRID ที่จะปรับปรุงใหม่ไปอีกขั้น

จากนั้น ในปี 2013 Corolla ALTIS รุ่นต่อไป ก็จะต้องพร้อมออกสู่ตลาดกัน
ตามหลังจากที่เวอร์ชันญี่ปุ่น น่าจะเปิดตัวในปี 2012 (ปล่อยให้ Honda ออก
Civic รุ่นต่อไป ก่อน ในปี 2011 กันอีกครั้ง) รายละเอียดของเวอร์ชันไทย
ยังห่างไกลจากบทสรุปเหลือเกิน

ส่วนการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ รถกระบะ Hilux ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในปี 2014 นั้น
ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ โดยใข้นิคเนมเรียกกันเล่นๆเป็นการภายในว่า IMV2
และในเมื่อยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการ ดังนั้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ จึงยังไม่มีออกมา
ในตอนนี้ คาดว่าเราจะเริ่มได้รับรู้ข้อมูลคร่าวๆ กันตั้งแต่ราวๆ ต้นปี 2012-2013 แต่ที่แน่ๆ
เครื่องยนต์จะยังอยูในพิกัด ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,500 และ 3,000 ซีซี เทอร์โบ
พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ รวมทั้งมีบานแค็บเปิดได้ แต่จะแก้ไขปรับปรุงสมรรถนะ
และการทรงตัวให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า จะไม่ใช้ชื่อ Vigo ต่อไป ซึ่งดูจะเป็นธรรมเนียม
ของค่ายนี้ ทุกครั้งที่เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับรถกระบะของตนอยู่แล้ว

ด้านโครงการอีโคคาร์ ผู้บริหารของโตโยต้า ออกมาประกาศเลื่อนการลงทุนออกไปเป็น
ปี 2012 นั้น ส่อแววว่าอาจมีเลื่อนไปไกลกันอีกรอบ และคราวนี้ อาจเลื่อนนานกันจนถึง
2014 เพราะโตโยต้า บอกออกมาแล้วว่า “ไม่รีบ”

ความจริงแล้ว ก็มิใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะแผนดั้งเดิมนั้น โตโยต้า วางกำหนด
เปิดตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า น่าจะอยู่ที่ปี 2012 อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลก
ที่ผันผวน รวมทั้งยังไม่มีตลาดต่างประเทศรองรับการส่งออกที่มากพอ ทำให้สถานการณ์
ของโตโยต้า จึงแตกต่างจากนิสสัน ฮอนด้า และซูซูกิกันไปเลย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้
โตโยต้าเองดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมความพร้อมต่อการเข้าร่วมขอรับสิทธิพิเศษ ECO Car
ตั้งแต่แรก ทำให้ในตอนนี้ หากจะพัฒนา ECO Car กันต่อไป โตโยต้า ยังคงจะต้องพึ่งพา
การสร้างรถรุ่นนี้ ร่วมกับ บริษัทลูกในเครืออย่างไดฮัทสุ อยู่ดี เพราะโตโยต้า ไม่ถนัดทำ
รถเล็กเท่ากับไดฮัทสุ ดังนั้น โอกาสที่โครงการนี้จะถูกเลื่อนไปไกลถึงปี 2014 ก็ไม่ใช่
เรื่องน่าอัศจรรย์นัก

ส่วน แบรนด์รถยนต์หรู เล็กซัส นั้น  ปีที่ผ่านมา เพิ่งเปิดตัว RX350 และ RX400 HYBRID
ในช่วงต้นปี 2009 ตามติดตลาดโลกแทบจะในทันที จากนั้น ก็เพิ่งจะออกข่าวว่านำ LS460
Minorchange และ LS600 HYBRID มาเปิดตลาดในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2 เดือนก่อน
ดังนั้นในปีนี้ มาลองดูกันว่า IS250C ที่ตอนแรกบอกว่าจะมา แต่ก็ยังไม่มานั้น จะพร้อม
ทำตลาดกันอย่างจริงจังในปีนี้ ได้หรือไม่?
 
——————————————–

VOLVO
2010 : C30 Minorchange & C70 Minorchange
2011 : All New S60 ความหวังครั้งสำคัญ
V70 ถอดใจไปแล้ว….?

ปี 2009 พอล สโตรค์ ลาจากไป และพี่ตุ้ม ฉันทนา วัฒนารมย์ ขึ้นกุมบังเหียน
วอลโว คาร์ส ประเทศไทย แทน ทำให้ค่ายรถยนต์หรูจากแดนไวกิ้ง
มีความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยภาวะตลาดรถหรู
หดตัวต่อเนื่องจากปี 2007 เป็นต้นมา ยังทำให้ ยอดขายอยู่ในระดับแค่
เลี้ยงตัวเองพอให้รอดแบบไม่สะบักสะบอมนัก  

ปีที่ผ่านมา ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเปิดตัว XC60 ในช่วงกลางปี ตามหลังจากที่
งดเข้าร่วมงาน Bangkok Motor Show เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะต้อง
เก็บงบเอาไว้ใช้สอยอย่างประหยัด จนถึง การสั่งนำเข้า S40 / V50 ที่หลายคน
รอคอยกันมานาน จากโรงงานในมาเลเซีย เคาะราคาถูกสนั่นทุ่ง 1.799 ล้านบาท
โดยยังคงมุ่งเน้นรถยนต์พลังงานทางเลือก E85 และ ดีเซล B5 ต่อไป ควบคู่กับ
การแอบดัมพ์ราคาขายรถหลายรุ่น ตามงานต่างๆ จนกระชากใจลูกค้าไปได้
เยอะมาก! เพราะถูกยิ่งกว่าราคาช่วงเปิดตัว แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้

ปี 2010 ยังเป็นอีกปีที่ Volvo ยังจะต้องประคองตัวต่อไป ด้วยการนำ C30 และ
C70 Minorchange มาเสริมทัพ เอาใจลูกค้าผู้อยากได้ความแปลกแต่ปลอดภัย
โดยที่ยังจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า S60 ใหม่ ที่จะเปิดผ้าคลุมกันในงาน 2010
เจนีวา มอเตอร์โชว์ นั้น จะพร้อมสั่งเข้ามาประกอบในประเทศได้ ในปี 2011 หรือไม่?

ส่วน V70 ที่เราคาดหมายกันว่า น่าจะเปิดตัวกันในปี 2008-2009 เอาเข้าจริงแล้ว
วอลโวเหมือนจะถอดใจไปแล้ว ทั้งที่ตัวรถ สามารถใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับ S80
ได้ทั้งครึ่งคันหน้า เพราะดูท่าตลาดจะไปไม่รุ่งอย่างที่คิด

——————————————–

VOLKSWAGEN GROUP
VW/Audi/SKODA/SEAT

Touareg ใหม่ ราคาถูกกว่า X5
Audi A8 ต้องรอฐานล้อยาว

ระหว่างที่บริษัทแม่ ยังไม่มาทำตลาดเอง ไทยยานยนต์ ในฐานะ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ก็ยังคงเดินหน้า สั่งเปิดตัว GOLF Mk-V Scirocco Passat CC และ Tiguan รวมทั้ง Golf GTi TSI
เข้ามาเอาใจลูกค้า ที่มีเงินและ อัดอั้นเก็บกดกับความอยากเป็นเจ้าของ โฟล์กรุ่นใหม่ๆเหล่านี้
มานานแล้ว การลงทุนจัดบูธ อย่างสวยสดงดงามที่สุด เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของ
โฟล์กสวาเกนในเมืองไทย ณ งาน Bangkok International Motor Show มีนาคม 2009 นั้น
คือเครื่องยืนยันว่า ชื่อของแบรนด์รถยนต์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมัน จะยัง
ยืนหยัดอยู่ในไทยได้แน่ ในช่วง 3-4 ปีนับจากนี้

ปี 2010 นี้ ก็คงจะมีแต่การ สั่งนำเข้า Toureg SUV รุ่นใหญ่ เข้ามาอย่างจริงจังเสียที
หลังจากปล่อยให้ ผู้ค้ารายย่อย ทะยอยสั่งเข้ามาขายไปหลายคันแล้ว โดยตั้งเป้าว่า
จะพยายามทำราคาขายปลีกให้ถูกกว่า BMW X5 ให้ได้

ส่วน ฝั่ง Audi นั้น A8 ใหม่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลก ไปหมาดๆ ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
แต่กว่าจะเข้ามาขายในเมืองไทยได้ คงต้องรอให้รุ่น Long Wheelbase หรือฐานล้อยาว
พร้อมขึ้นสายการผลิตกันเสียก่อนระหว่างนี้ ก็คงจะยืนพื้นขายรุ่นเดิมๆ ในสต็อกไปให้หมด
ไม่ว่าจะเป็น A4 ใหม่ A6 ใหม่ คูเป้รุ่น A5 รถสปอร์ตขายดีรุ่น TT และ Premium Compact SUV
รุ่นฮิตเหลือเชื่อ อย่าง Q5

ที่น่าแปลกใจก็คือ SKODA แต่เดิม เคยเป็นแบรนด์ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว แต่ในงาน Motor Expo
ก็ยังมีการสั่งนำเข้ารถรุ่นใหม่ มาเปิดตลาดต่อเนื่อง ด้วยรุ่น Fabia รถเล็ก ดีไซน์เฉียบ คล้าย
Suzuki Swift ราวกับจงใจ เปิดตัวด้วยราคาแรงใช้ได้ 1.6 ล้านบาท รวมทั้ง Octavia รุ่นใหม่
ที่ซุ่มเงียบเข้ามาขายในบ้านเรากันอีกครั้ง คงต้องดูกันต่อไปว่า คราวนี้ สโกดา จะยังมีพื้นที่ยืน
อยู่ในตลาดเมืองไทย ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน?

อย่างไรก็ตามข่าวลือว่า บริษัทแม่ โฟล์กสวาเกน จะพร้อมกลับมาบุกตลาดเมืองไทยในช่วงต้นปี
ก็ยังคงเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าทิศทางการยอมรับของผู้บริโภคสำหรับโฟล์กสวาเกนนั้น
ยังถือว่าสดใสอยู่ เมื่อเทืยบกับรถยุโรปค่ายอื่นๆ ขาดเพียงแต่ว่า ทุกวันนี้ ที่ความเชื่อมั่นในแบรนด์นี้
ลดน้อยถอยลงไป เพราะผู้บริโภคเจอประสบการณ์ไม่ดีจากการดูแลหลังการขายของผู้จำหน่าย
รายเดิม นั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่ควรจะทำ คือ สร้างความเชื่อมั่นในการบริการ การวินิจฉัยปัญหา
และทำราคาอะไหล่ให้ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ลิตรละ 800 บาทมาอย่างไร
ก็เป็นไปอย่างนั้น

ส่วน แผนเดิมที่เคยยื่นขอสนับสนุนการลงทุนกับ BOI ในโครงการ ECO CAR นั้น ดูเหมือน
ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงัด ตลอดปีที่ผ่านมา ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะด้วยต้นทุนการผลิตของโฟล์ก
ที่สูงกว่ารถญี่ปุ่นอยู่มาก อีกทั้งยังต้องลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่โตแห่งใหม่
ทำให้ราคาขายปลีกต่อคันอาจสู้รถญี่ปุ่นไม่ได้ ดังนั้นโฟล์กฯ ต้องใคร่ครวญคิดให้ดี

Previous Post

N0310035_สาวจรจ ดคนน อใคร ทำไมเศรษฐ องมอบมรดกให เธอ_part2

Next Post

N0310055_อาจารย พาแม เป นอ ลไซเมอร มาสอนหน งส อด วย ทำให นวายไปท งมหาล_part2

Next Post
N0310055_อาจารย พาแม เป นอ ลไซเมอร มาสอนหน งส อด วย ทำให นวายไปท งมหาล_part2

N0310055_อาจารย พาแม เป นอ ลไซเมอร มาสอนหน งส อด วย ทำให นวายไปท งมหาล_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1412031 สงครามแม เล ยงก บล กเล ยง ใครจะอย ใครจะไป!!! part2
  • N1412037 งคนท เคยลำบากมาด วยก เพ อไปคบคนรวย part2
  • N1412032 ทำไมแม องขโมยเง นของล กต วเองด วย part2
  • N1412036 คงอยากได แฟนเพ อนจนต วส งได กล าทำเร องแบบน part2
  • N1412035 าม แฟนน ยแย แบบน แนะนำอย คนเด ยวเถอะ!! part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.