
ออดี้ ในประเทศญี่ปุ่น ประกาศเปิดตัวรุ่นพิเศษลิมิเต็ดเอดิชั่นสำหรับ Audi Q5 และ Audi Q5 Sportback โดยใช้ชื่อรุ่นต่อท้ายว่า High Style ที่มาพร้อมกับการเพิ่มแพกเก็จแต่งและอุปกรณ์มาตรฐานทั้งภายนอกและภายใน โดยจะผลิตออกมาวางจำหน่ายในตลาดญี่ปุ่นเพียงรุ่นละ 250 คัน เท่านั้น

สำหรับ Audi Q5 / Q5 Sportback High Style ที่มีพื้นฐานมาจาก Q5 / Q5 Sportback 40 TDI Quattro ที่มีวางจำหน่ายในตลาดญี่ปุ่น โดยในรุ่นพิเศษทั้งคู่ยังคงใช้ขุมพลังเดิมที่เป็น เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบไดเร็คอินเจคชั่น 4 สูบแถวเรียง (TDI) ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบไมลด์ไฮบริดที่ใช้แบตเตอรีลิเธียมไอออนขนาด 12V และ Belt-driven Alternator Starter ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ S Tronic 7 สปีดตัวรถจะขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ quattro

ในด้านการตกแต่งรูปลักษณ์ในรุ่น Q5 High Style จะถูกตกแต่งขึ้นจากในรุ่น Q5 40 TDI quattro advanced โดยได้รวบรวมชุดแต่ง 3 สไตลฺ์เข้าไว้ด้วยกันได้อก่ Plus, Luxury และ Black Audi rings & Black Style


เริ่มจากด้านนอกตัวรถจะมากับโลโก้ Audi 4 ห่วงที่จะเป็นสีดำทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มความสปอร์ตดุดันด้วยแพกเก็จแต่งสีดำรอบคัน มาพร้อมล้ออัลลอยลาย Falx แบบ 5 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว รวมถึงได้รับการติดตั้งฝาครอบกระจกมองข้างที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์

ส่วนภายในห้องโดยสารของรุ่น Q5 High Style จะมาในโทนสีน้ำตาล พร้อมหุ้มตัวเบาะนั่งด้วยหนังสีน้ำตาลokapi พร้อมตกแต่งภายในห้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์, โลหะ, หนัง และที่สำคัญยังตกแต่งตอนโซลหน้า และแผงประตูข้างด้วยลายไม้แอชสีเทา

ขณะที่ในรุ่น Q5 Sportback High Style ถูกตกแต่งขึ้นมาจากตัว Q5 Sportback 40 TDI quattro S line มาพร้อมกับแพกเก็จแต่ง S Line Plus งานตกแต่งภายนอกจะได้รับล้ออัลลอยปัดเงาลาย 5-Segment Spoke Design ขนาด 20 นิ้ว

ภายในห้องโดยสาร เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง Nappa สีเทาโรเตอร์ พร้อมตัดเย็บด้วยลวดลายเพชรที่ตัวเบาะนั่ง นอกจากนั้นยังตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมที่เงาวาว เพิ่มความหรูหราและพรีเมียม มาพร้อมกระจก Privacy Glass ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ในด้านชุดอุปกรณืที่ทั้ง 2 รุ่นจะได้รับเหมือนกันนอกจากกระจก Privacy Glass แล้ว ยังมาพร้อมกับพวงมาลัยแบบปรับความร้อนได้เพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายในสภาพอากาศหนาวเย็น ชุดไฟท้ายแบบ Matrix OLED ที่ปรับปรุงทัศนวิสัยและการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยี OLED ดิจิตอลที่มีความสม่ำเสมอสูง มาพร้อมไฟเลี้ยวแบบไดนามิก

สำหรับเฉดสีตัวถังของ Audi Q5 high style / Q5 Sportback high style จะมีให้เลือกหลากหลายสี โดยในรุ่น Q5 High Style จะมีให้เลือก 4 สี ได้แก่สีขาว Glacier White Metallic, สีดำ Mythos Black Metallic, สีฟ้า Navarra Blue Metallic และสีเขียว District Green Metallic ส่วนรุ่น Q5 Sportback High Style ก็จะมีเฉดสีให้เลือก 4 สี เช่นกัน แต่จะไม่มีสีเขียว District Green Metallic โดยจะเปลี่ยนมาเป็นสีเทา Daytona Gray Pearl Effect แทน

ส่วนราคาจำหน่ายของ Audi Q5 / Q5 Sportback High Style รุ่้นพิเศษทั้ง 2 รุ่นในตลาดญี่ปุ่น จะมีราคาอยู่ที่ 7,990,000 เยน หรือประมาณ 2.07 ล้านบาท สำหรับในรุ่น Q5 High Style ส่วนในรุ่น Q5 Sportback High Style จะมีราคาจำหน่ายที่ 8,570,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ทีราว 2.22 ล้านบาท สำหรับวันเวลาลงโชว์รูมของเอสยูวีรุ่นพิเศษทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีชึ้นในช่วงเดือน ม.ค. 2023 ที่จะถึงนี้ และมีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น
Audi ยังคงอยู่ในช่วงเวลาของการทยอยปรับโฉมรถยนต์ของตนเองอยู่เรื่อยๆ และล่าสุดก็เป็นรถยนต์ตระกูลยอดนิยมของแบรนด์อย่าง 2025 Audi Q5 และ 2025 Audi SQ5 ที่ได้ขยับเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 3 อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้

2025 Audi Q5 และ 2025 Audi SQ5 มาพร้อมกับการปรับโฉมใหม่ในทุกด้าน โดยเริ่มจากงานออกแบบภายนอกใหม่ ที่ถูกปรับให้ดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตามากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้อารมณ์แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับตัวรถโฉมก่อนหน้าที่เน้นใส่ภาพลักษณ์หรูมากจนเกินไปในสายตาของใครหลายคนเช่นกัน
โดยแม้ดีไซน์กรอบกระจังหน้าจะดูคล้ายเดิม แต่คราวนี้มาพร้อมกับซี่ตะแกรงด้านในซึ่งไม่ได้เป็นแบบแนวตั้งเรียบหรู แต่เป็นซี่ตะแกรงแบบ 6 เหลี่ยมที่ดูดุดันยิ่งขึ้น, ปรับเพิ่มขนาดช่องดักลมด้านล่างให้สูงขึ้น พร้อมติดตั้งเซนเซอร์วัดระยะวัตถุด้านหน้า, ปรับเส้นขอบช่องดักลมด้านข้างกันชนหน้าให้ดูลงตัวและโดดเด่นกว่าเดิม, ปรับกรอบไฟหน้าให้ดูเล็กเรียวบางมากขึ้น
เส้นสายด้านข้าง มีการปรับลดความเป็นเหลี่ยมของเส้นไหล่ตัวถังให้ดูโค้งมนรับกับซุ้มล้อหน้า-หลังยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับแนวกรอบกระจกข้าง แล้วไปเพิ่มความโดดเด่นในช่วงครึ่งล่างแทนจากเส้นชายล่างประตูที่ดูโหนกนูนและมีการตัดสันขอบให้ชัดเจนกว่าเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น งานออกแบบเส้นตัวถังด้านท้ายรถเอง ยังเน้นความสะอาดตาตั้งแต่กรอบบานประตูที่รับเป็นแนวเดียวกันกับกันชนท้าย ขณะที่ไฟท้ายก็มีการปรับใหม่ ให้กลายเป็นแบบคาดยาวตามแนวฝาท้ายตามสมัยนิยม และยังมีการเพิ่มฟังก์ชันระบบสะท้อนไฟเบรกลงมาที่กระจกบ้านท้าย เพื่อการแจ้งเตือนผู้ขับทางด้านหลังที่จัดเจนขึ้น

ภายในห้องโดยสาร ก็มีการปรับงานออกแบบใหม่ทั้งหมดเช่นกัน โดยแม้ตัวคอนโซลหน้า จะยังคงเน้นการบิดแนวตอกลางให้หันหน้าเข้าหาผู้ขับเป็นหลักดังเดิม แต่ในคราวนี้ ชุดหน้าจออินโฟเทนเมนท์ที่ว่า ก็มาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็น 14.5 นิ้ว และเชื่อมต่อเป็นแผงเดียวกันกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลตัวรถขนาด 11.9 นิ้ว และยังมีชุดจอแสดงผลขนาด 10.9 นิ้วให้ผู้โดยสารได้ดูข้อมูลตัวรถอื่นๆเพิ่มเติมได้อีก
ด้านพวงมาลัย แม้จะยังคงเป็นแบบ D-Shape แต่ปุ่มมัลติงฟังก์ชันบนตัวก้านกลับเน้นความเรียบง่าย และให้มาเท่าที่จำเป็น โดยไม่มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของตัวรถ ทั้งโหมดเครื่องยนต์ หรือช่วงล่างใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากมันได้ถูกย้ายไปไว้ในหน้าจอทั้งหมด
อีกสิ่งที่ทาง Audi ระบุว่ามีความเปลี่ยนแปลง ก็คือพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น เบาะโดยสารตอนหลัง สามารถปรับตำแหน่งได้หลากหลายขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นตัวรถยังมาพร้อมกับระบบสัญญาณไวร์เลสในตัว พอร์ทชาร์จไฟไร้สายยังมีระบบทำความเย็นมาให้ หากไม่พอ ยังมีพอร์ทเชื่อมต่อและพอร์ทจ่ายไฟ USB Type C อีก 4 จุด (หน้า 2 – หลัง 2) ซึ่งสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 100 วัตต์ รองรับการชาร์จแล็ปท็อปได้สบายๆ

ด้านโครงสร้างตัวรถ ก็เป็นโครงสร้างใหม่ Premium Platform Combustion (PPC) ที่ทางค่ายพึ่งใช้กับ Audi A5 ตัวล่าสุดไป ซึ่งนอกจากจะส่งผลในเรื่องพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้นแล้ว เมื่อบวกกับการออกแบบระบบกันสะเทือน และระบบบังคับเลี้ยวใหม่ ทางค่ายจึงระบุว่ามันจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับลูกค้าได้ดีขึ้นมาก ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อความสบายสูงสุด ทางค่ายก็มีออพชันระบบช่วงล่างไฟฟ้าที่สามารถแปรผันความหนืดมาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อกันเพิ่มได้ด้วย
ส่วนขุมกำลังตัวรถ ก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI ซึ่งให้กำลังสูงสุด 204-272 PS และแรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร, เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI กำลังสูงสุด 204 PS กับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร, และเครื่องยนต์รุ่นแรงสุด คือเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร TFSI กำลังสูงสุด 367 PS แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร
โดยระบบส่งกำลังจะเป็นแบบระบบเกียร์อัตโนมัติ คลัทช์คู่ 7 สปีดทั้งหมด และมีระบบขับเคลื่อนทั้งแบบ ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า หรือแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แล้วแต่รุ่นย่อย และที่สำคัญคือ ทุกขุมกำลังจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 24 PS และแรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ในลักษณะระบบ Mild Hybrid จากพลังของแบตเตอรี่ขนาด 1.7 kWh เหมือนกันหมด เพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษ และช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

ส่วนกำหนดการเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆถูกเปิดเผยจากทาง Audi Thailand ทั้งสิ้น แต่คาดว่าอย่างเร็วสุด ก็อาจจะเกิดขึ้นภายในไม่เกินสิ้นปีนี้

