ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ความหรูหรา และสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย แบรนด์ดาวสามแฉกไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความสำเร็จ แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและแนวคิดแห่งอนาคต ตั้งแต่การปฏิวัติระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าไปจนถึงการส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และการสร้างเครือข่ายบริการที่แข็งแกร่ง บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์และพัฒนาการล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในภูมิทัศน์ยานยนต์ไทย โดยมองย้อนไปถึงรากฐานที่มั่นคงและฉายภาพอนาคตที่สดใส
การปฏิวัติพลังงานไฟฟ้า: Titan Silicon และ Mercedes-Benz EQG G Wagon
หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสู่อนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์คือการลงทุนอย่างมหาศาลใน รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยี แบตเตอรี่ EV ที่ล้ำสมัย ข่าวคราวที่น่าตื่นเต้นที่สุดในช่วงปลายปี 2024 ต่อเนื่องมาถึงปี 2025 คือการที่ Mercedes-Benz EQG G Wagon ซึ่งเป็นรถ SUV ออฟโรดในตำนานที่ผันตัวมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้แบตเตอรี่วัสดุใหม่จาก Sila ที่มีชื่อว่า “Titan Silicon” เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรด แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมแบตเตอรี่อย่างแท้จริง
Sila ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุแบตเตอรี่ ได้ประกาศความพร้อมในการผลิต Titan Silicon เชิงพาณิชย์ หลังจากประสบความสำเร็จในการผลิตจำนวนมาก แบตเตอรี่ Titan Silicon ใช้ซิลิคอนแอโนด (Silicon anodes) ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการกักเก็บพลังงานได้มากกว่าวัสดุกราไฟต์ทั่วไปถึง 10 เท่าในขนาดพื้นที่เท่ากัน นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะกำหนดทิศทางของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
จากผลการทดสอบเชิงลึก พบว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ซิลิคอนแอโนด (Si-LIBs) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้สูงถึง 40% แม้จะยังคงมีข้อจำกัดด้านการขยายตัวและหดตัวของวัสดุ แต่ Sila ได้เคลมว่า Titan Silicon จะช่วยเพิ่ม ระยะทางขับขี่ ของรถยนต์ไฟฟ้าได้อีก 20% จากปัจจุบัน หรือคิดเป็นการเพิ่มระยะทางอีกประมาณ 100 ไมล์ในรถยนต์ EV บางรุ่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจและกำลังได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ด้านประสิทธิภาพ Titan Silicon ยังเหนือกว่าในด้านการชาร์จไฟที่รวดเร็วเป็นพิเศษ สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% เป็น 80% ได้ภายในเวลาไม่เกิน 20 นาที ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่อง “Range Anxiety” ของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังช่วยลดการสูญเสียรอบการชาร์จ ลดอาการบวมของแบตเตอรี่เมื่อเทียบกับกราไฟต์ และที่สำคัญคือสามารถลดน้ำหนักของแบตเตอรี่ลงได้มากถึง 15% พร้อมประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งได้มากถึง 20% คุณสมบัติเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มสมรรถนะให้กับรถยนต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อ การขับขี่ที่ยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยกระบวนการผลิต Titan Silicon ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าแบตเตอรี่กราไฟต์ถึง 50-75% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง นวัตกรรมยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อโลก
ความร่วมมือระหว่าง Mercedes-Benz และ Sila เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2019 ด้วยการลงทุนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ใน Sila เพื่อวิจัยและพัฒนาวัสดุแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต การตกลงที่จะนำ Nano-Composite Silicon (NCS) ของ Sila มาใช้ในรถยนต์ EV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งแต่ปี 2022 ได้ปูทางไปสู่การเปิดตัว EQG G Wagon ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2024 หรือต้นปี 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการผลิตเชิงพาณิชย์ของ Titan Silicon อย่างพอดี การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเป็นผู้นำด้าน รถยนต์พลังงานสะอาด แต่ยังเป็นการยืนยันความตั้งใจที่จะหยุดทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งหมดตั้งแต่ปี 2582 (ค.ศ. 2039) โดยจะเดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดอื่นๆ อย่างเต็มตัว ซึ่งถือเป็นการประกาศที่กล้าหาญและก้าวกระโดดกว่าคู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรม
สมรรถนะที่เร้าใจและประสบการณ์ขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์
แม้จะก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เคยทิ้งรากฐานสำคัญด้าน สมรรถนะรถยนต์ และประสบการณ์ขับขี่อันน่าตื่นเต้นที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก กิจกรรมอย่าง “AMG Driving Academy” ที่จัดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการมอบ ประสบการณ์ขับขี่ ที่สมบูรณ์แบบและเพิ่มพูนทักษะให้กับผู้ขับขี่ รถสปอร์ต สมรรถนะสูง
กิจกรรมนี้เป็นมากกว่าการทดลองขับ แต่เป็นการฝึกอบรมเชิงลึกที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ เทคนิคการขับขี่ แบบเต็มสมรรถนะจากทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี รวมถึงแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง มร. เบิร์น ชไนเดอร์ อดีตแชมป์ DTM ห้าสมัยและแชมป์สองสมัยจากสนามนูร์เบอร์กริงสุดโหด ผู้เข้าอบรมจะได้สัมผัสกับรถยนต์ Mercedes-AMG ครบทั้งพอร์ตโฟลิโอรวม 14 รุ่น ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปลดปล่อยพลังของเครื่องยนต์และเรียนรู้ขีดจำกัดของรถ
สถานีฝึกอบรมต่างๆ ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ครอบคลุมทักษะที่จำเป็นสำหรับการขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงในสถานการณ์จริง:
Brake & Lane Change: การทดสอบการควบคุมเบรกฉุกเฉินและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของผู้ขับขี่ พร้อมทำความเข้าใจระบบ ความปลอดภัย ESP และไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน
Car Control: ฝึกควบคุมรถในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ถนนลื่น โดยใช้ Mercedes-AMG C 43 4MATIC ที่ถูกดัดแปลงให้มีปลอกพลาสติกหุ้มล้อหลังเพื่อลดการยึดเกาะถนน การฝึกนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่รับมือกับสถานการณ์ท้ายออก (Oversteer) ได้อย่างมั่นใจ และเข้าใจบทบาทของระบบควบคุมเสถียรภาพ
Drag Race: สัมผัสถึงพละกำลังและความแรงของ Mercedes-AMG ในการจำลองการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต พร้อมฝึกฝนทักษะการเบรกที่แม่นยำด้วยความเร็วสูง
Cornering Exercise: การฝึกทักษะการเข้าโค้ง การเบรก และการบังคับทิศทางรถในโค้งที่มีความกว้างแตกต่างกัน โดยมีผู้ฝึกสอนนำขบวนเพื่อถ่ายทอดเทคนิคการขับขี่แบบนักแข่ง
Lead & Follow: การนำความรู้จากสถานีต่างๆ มาปรับใช้กับการขับขี่บนเส้นทางการแข่งขันจริง ปลดปล่อยพลังของ AMG ออกมาอย่างเต็มกำลัง
Auto-X Practice & Competition: การจำลองการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตแบบจับเวลา เพื่อทดสอบทักษะการควบคุมรถ การจดจำเส้นทาง และการตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน
การฝึกอบรมเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มทักษะ แต่ยังสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเทคโนโลยีและขีดความสามารถของรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ผู้เข้าร่วมทุกคนที่ผ่านการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาทักษะการขับขี่อย่างเป็นทางการ
ตลาดรถหรูในประเทศไทย: ความหลากหลายและกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำใน ตลาดรถยนต์ไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวางขึ้น โดยมองย้อนไปที่ความสำเร็จในอดีต จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่รถยนต์ระดับเริ่มต้นไปจนถึงรถยนต์หรูและสมรรถนะสูง
ในปี 2019 Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ได้เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดคอมแพ็คคาร์ในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบขนาด 1.3 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรถคอมแพ็คที่มีแรงม้าสูงสุดเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์เดียวกันในเวลานั้น แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,620 รอบ/นาที พร้อมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าประทับใจ จุดเด่นสำคัญอีกประการคือระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ปฏิวัติการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่กับรถยนต์ ด้วยการสั่งการด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ (Hey, Mercedes) และความสามารถในการจดจำพฤติกรรมการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของ การออกแบบภายในที่ทันสมัยและสปอร์ตแบบ AMG ผสานกับความกว้างขวางของห้องโดยสารและไฟประดับ Ambient Lighting 64 สี ทำให้ A-Class เป็นที่จับตาในฐานะ รถหรู ระดับเริ่มต้นที่ครบครัน
เช่นเดียวกัน Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ตสุดหรูที่ประกอบในประเทศ ได้ตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอรถยนต์ที่ผสานดีไซน์อันงดงามเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยชุดไฟหน้า MULTIBEAM LED, กระจังหน้า diamond grille อันเป็นเอกลักษณ์ และภายในห้องโดยสารที่หรูหราพร้อมแผงหน้าปัดดิจิทัล Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC และระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ Active Brake Assist และ Active Distance Assist DISTRONIC ทำให้ CLS 300 d เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราแบบสปอร์ตและการขับขี่ที่มั่นใจ
ในส่วนของตลาด SUV เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็แสดงความเป็นผู้นำมาโดยตลอด หากมองย้อนไปในอดีต รายงาน Luxury SUV ในปี 2019 ชี้ให้เห็นว่า Mercedes-Benz GLC เป็นสุดยอด SUV ที่ได้รับการการันตีด้วยคุณภาพและยอดจำหน่ายทั่วโลก การผสมผสานระหว่างความหรูหราและการใช้งานได้จริงอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ GLC Class เป็นรถ SUV พรีเมี่ยมขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงจากคู่แข่งอย่าง Audi Q8, BMW X5, Volvo XC90, Porsche Cayenne และ Range Rover Sport แต่ GLC ก็ยังคงยืนหนึ่ง นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเข้าใจของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในความต้องการของตลาดและความสามารถในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เหนือความคาดหมาย และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาด SUV หรูในปี 2025 ด้วยรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ
เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ ลูกค้าสัมพันธ์
ความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยไม่ได้มาจากผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้น ลูกค้าสัมพันธ์ เป็นหัวใจสำคัญ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Primus Autohaus ซึ่งแม้จะเป็นดีลเลอร์รายใหม่ที่ก่อตั้งเมื่อปลายปี 2019 แต่กลับสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทในการพัฒนาโชว์รูมและศูนย์บริการรูปแบบใหม่ Primus Autohaus แสดงให้เห็นถึงพลังของกลยุทธ์ที่เน้นความขยันและการสร้าง Customer Satisfaction Index (CSI) ให้ดีที่สุด
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงต้นปี 2020 แต่ Primus Autohaus ก็ไม่ยอมแพ้ โดยการไม่ปลดพนักงาน การลงทุนในมาตรการควบคุมโรค การทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล การนำรถยนต์ไปให้ลูกค้าเลือกถึงบ้าน รวมถึงบริการรับรถจากบ้านลูกค้ามาซ่อมบำรุง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เหนือระดับ กลยุทธ์ที่เน้นการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามายังศูนย์บริการ พร้อมทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญสูง เช่น การจ้างนักวิเคราะห์การซ่อมบำรุงถึง 5 คน ซึ่งมากกว่ามาตรฐานทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดและรักษาลูกค้าไว้ในระยะยาว
นอกจากนี้ การเสริมสร้างทางเลือกให้กับลูกค้าก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ ได้นำรถยนต์ Mercedes-Benz Certified หรือ รถยนต์มือสอง คัดเกรดคุณภาพเยอรมนี เข้าร่วมงาน Motor Expo 2019 ด้วยงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท รถยนต์ Certified ทุกคันผ่านการรับรองและตรวจสอบกว่า 200 จุด ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ใช้อะไหล่แท้ และซ่อมบำรุงตามมาตรฐานโดยทีมช่างผู้ชำนาญการ รถส่วนใหญ่เป็นรถผู้บริหาร รถเดโม หรือรถเทรดอินที่มีอายุไม่เกิน 8 ปี หรือเลขไมล์ไม่เกิน 150,000 กิโลเมตร โดยเฉพาะรถในงานมีอายุไม่เกิน 3 ปี หรือเลขไมล์ไม่เกิน 50,000 กิโลเมตร การนำเสนอรถยนต์ ราคา Mercedes-Benz ที่ย่อมเยาลงมานี้ช่วยเติมเต็มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการขยายฐานลูกค้าในตลาดรถยนต์หรูของประเทศไทย
อนาคตที่ยั่งยืนและบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เพียงมุ่งเน้นที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจยานยนต์ โดยรวม การประกาศยุติการทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในภายในปี 2039 และการตั้งเป้าให้โรงงานผลิตปลอดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยการใช้พลังงานลมและพลังงานสะอาดอื่นๆ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ รถยนต์พลังงานสะอาด ทั้ง Plug-in Hybrid และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) โดยมีเป้าหมายยอดขายจากรถยนต์พลังงานสะอาดมากกว่าครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ถือเป็นโรดแมปที่ท้าทายแต่สำคัญอย่างยิ่งต่อ อนาคตยานยนต์ ของโลก
สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ การเติบโตของดีลเลอร์อย่าง Primus Autohaus ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TOA Venture Holding สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจรถยนต์หรูในประเทศ TOA Venture Holding ซึ่งมีธุรกิจหลากหลายทั้งสีอุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์ ตั้งเป้าที่จะให้ธุรกิจรถยนต์ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มในอนาคตอันใกล้ ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ Eco Car ไปจนถึงรถยนต์หรูและสมรรถนะสูงอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์
สรุป
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่แข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ในตลาดรถยนต์หรูของประเทศไทย ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมล้ำหน้าอย่าง Titan Silicon ใน Mercedes-Benz EQG G Wagon ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการแบตเตอรี่ EV การรักษามาตรฐาน สมรรถนะรถยนต์ และ ประสบการณ์ขับขี่ ผ่านกิจกรรมอย่าง AMG Driving Academy การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของตลาด พร้อมกลยุทธ์ ลูกค้าสัมพันธ์ ที่เข้มแข็งผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นสู่ ความยั่งยืน ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ได้เป็นเพียงผู้จำหน่ายรถยนต์ แต่เป็นผู้ขับเคลื่อน นวัตกรรมยานยนต์ และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง อนาคตยานยนต์ ที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในประเทศไทย

