ในโลกแห่งยนตรกรรมที่หมุนไปอย่างรวดเร็วปี 2025 นี้ ชื่อของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดรถยนต์หรูระดับโลก จากประสบการณ์ยาวนานกว่าทศวรรษในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผมเห็นถึงความสม่ำเสมอและความกล้าหาญในการรังสรรค์นวัตกรรมที่มิได้หยุดอยู่เพียงแค่การขับเคลื่อน แต่เป็นการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติ บทความนี้จะเจาะลึกถึงรากฐานความสำเร็จ วิสัยทัศน์ และเส้นทางที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เดินทางมาเพื่อคงความเป็นที่หนึ่ง ทั้งในด้านดีไซน์ สมรรถนะ เทคโนโลยี และความยั่งยืน
ศิลปะแห่งนวัตกรรม: โปรเจกต์ Geländewagen กับ G-Class – มรดกที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจ
ย้อนกลับไปในปี 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นต่างจับตามองการผสานพลังระหว่างสองไอคอนแห่งการออกแบบ: Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอแห่ง Off-White และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ การร่วมมือกันในโปรเจกต์ “Geländewagen” คือการท้าทายกรอบเดิมๆ ของ G-Class รถยนต์ 4×4 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความบึกบึน แต่ไม่เคยถูกมองว่าเป็น “รถแข่ง”
แนวคิดหลักคือการผลักดัน DNA ของ G-Class ให้ถึงขีดสุด เปลี่ยนจากรถยนต์ออฟโรดอันเป็นที่รักให้กลายเป็นผลงานศิลปะบนท้องถนนที่พร้อมลงสนามแข่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ G-Class ที่ดูดุดันยิ่งขึ้น กว้างขึ้น เตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมล้อและยางขนาดเกินจริงที่สร้างสุนทรียภาพทางสายตาอันเป็นเอกลักษณ์ ภายในห้องโดยสารถูกปรับโฉมใหม่ทั้งหมด พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจาก Project 1 รถแข่ง Formula 1 เบาะนั่งจาก DTM Car ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยทั้งหมดถูกเน้นด้วยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือเปิดประตู นี่ไม่ใช่เพียงการปรับแต่งรถยนต์ แต่เป็นการสร้างสรรค์ “รถยนต์ศิลปะ” ที่จะถูกประมูลโดย Sotheby’s เพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์นานาชาติ
ในปี 2025 นี้ โปรเจกต์ Geländewagen ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงในฐานะหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการก้าวข้ามขีดจำกัดของอุตสาหกรรมยานยนต์ ผสมผสานศาสตร์และศิลป์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป็นการย้ำเตือนว่ารถยนต์มิได้เป็นเพียงพาหนะ แต่ยังสามารถเป็นผืนผ้าใบสำหรับการแสดงออกทางศิลปะที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความกล้าหาญในการทดลองและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เช่นนี้เองที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์ที่น่าจับตาในทุกยุคสมัย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับการออกแบบ รถยนต์หรู รุ่นพิเศษในอนาคต
ครองตำแหน่งผู้นำในทุกเส้นทาง: การวิวัฒนาการของ Mercedes-Benz SUV Coupé และกลุ่ม SUV พรีเมียม
ตลาดรถยนต์ SUV หรู โดยเฉพาะในกลุ่ม SUV Coupé ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ยังคงรักษาสถานะผู้นำในเซ็กเมนต์นี้ไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Mercedes-Benz GLE Coupé ซึ่งในปี 2025 นี้ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่มองหาสมดุลระหว่างสมรรถนะอันดุดันของ รถสปอร์ต กับความอเนกประสงค์ของ SUV
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษที่ผ่านมา การแข่งขันในตลาด SUV Coupé ดุเดือดอย่างมาก โดยเฉพาะการขับเคี่ยวกับคู่แข่งสำคัญ แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE Coupé ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอสิ่งที่เหนือกว่า ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตยิ่งขึ้น หลังคาลาดเอียงแบบคูเป้ที่ผสานความสง่างามและความดุดันเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ได้เป็นเพียงการตามรอย แต่เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่
ภายในห้องโดยสารของ GLE Coupé สะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในยุคใหม่ ที่เน้นความกว้างขวาง โปร่งโล่ง และล้ำสมัยเสมือน “ห้องบัญชาการ” ดีไซน์ที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง โดยมีแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ต่อเนื่องกันสองจอขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบผู้ช่วย MBUX เวอร์ชั่นล่าสุดที่ชาญฉลาด สามารถเข้าใจคำสั่งเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือการนำเสนอ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับประสบการณ์ที่เชื่อมโยงและสะดวกสบายอย่างแท้จริง วัสดุคุณภาพสูงอย่างหนัง ARTICO และหนังแท้ Nappa ที่ตกแต่งแผงหน้าปัดและแผงประตู ยิ่งเสริมบรรยากาศความหรูหราให้โดดเด่น
ด้านขุมพลัง GLE Coupé ที่เคยเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ อันทรงพลัง (GLE Coupé 350 d 4MATIC และ 400 d 4MATIC) ในตลาดยุโรป ได้รับการยกย่องในเรื่องของสมรรถนะและแรงบิดที่สูง ทำให้การขับขี่ตอบสนองได้ทันใจในทุกช่วงความเร็ว ระบบส่งกำลัง 9G-TRONIC และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ที่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างยืดหยุ่นถึง 0-100 เปอร์เซ็นต์ระหว่างเพลาหน้าและหลัง ช่วยให้รถมีการยึดเกาะถนนและการควบคุมที่เหนือชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะการขับขี่ที่แตกต่างกัน ฐานล้อที่สั้นลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ GLE รุ่นปกติ ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบังคับควบคุม ให้ความรู้สึกว่องไวและมั่นใจ
สำหรับ ระบบความปลอดภัยรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เคยประนีประนอม นอกเหนือจาก Active Braking Assist ที่เป็นมาตรฐานแล้ว ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงอื่นๆ เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Active Stop-and-Go Assist และ Active Steering Assist ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ GLE Coupé ในปี 2025 เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มอบความมั่นใจและความปลอดภัยสูงสุดบนท้องถนน และแน่นอนว่า ราคา Mercedes-Benz ในรุ่นพรีเมียมเหล่านี้สะท้อนถึงนวัตกรรมและคุณภาพที่ลูกค้าจะได้รับอย่างคุ้มค่า
ป้อมปราการแห่งความสง่างาม: Mercedes-Benz GLS และ GLE – นิยามใหม่ของ SUV สำหรับครอบครัว
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม SUV 7 ที่นั่ง ด้วยรุ่น GLS และ GLE ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ที่เคยเปิดตัวเมื่อปลายปี 2019 ยังคงเป็นเสมือน “S-Class แห่งโลก SUV” ด้วยความหรูหรา สง่างาม และความสะดวกสบายที่เทียบเท่ารถยนต์ซาลูนระดับเรือธง
GLS โดดเด่นด้วย ดีไซน์หรู ภายนอกที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูง ULTRA RANGE Highbeam ที่ใช้หลอด LED กว่า 112 หลอดต่อโคมไฟหน้า สามารถปรับความเข้มและทิศทางของแสงได้อย่างแม่นยำอัตโนมัติ ภายในห้องโดยสารออกแบบมาเพื่อรองรับผู้โดยสารสูงสุด 7 ท่านอย่างแท้จริง ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น ทำให้มีพื้นที่ภายในกว้างขวางเป็นพิเศษ เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ และระบบ EASY-ENTRY ช่วยให้การเข้าถึงเบาะแถวที่ 3 เป็นไปอย่างสะดวกสบาย ซึ่งเบาะแถวที่ 3 ยังคงเป็นแบบ Full Size รองรับผู้ใหญ่ได้ถึง 194 ซม. เมื่อพับเบาะทั้งหมด จะได้พื้นที่เก็บสัมภาระมหาศาลถึง 2,400 ลิตร ตอบโจทย์การใช้งานเป็น รถยนต์ครอบครัว และการเดินทางไกลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) พร้อมจอแสดงผล Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่ 2 จอต่อเนื่องกัน ระบบ Head-up display ที่แสดงข้อมูลสำคัญบนกระจกบังลมหน้า ระบบนำทาง Hard Disc Navigation และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ความสะดวกสบาย และ นวัตกรรมยานยนต์ ที่ GLS มอบให้ นอกจากนี้ บริการ ‘Mercedes me connect’ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ช่วยเหลือฉุกเฉิน Tele diagnostics และ Remote Retrieval of Vehicle Status ยังช่วยเพิ่มความอุ่นใจและความปลอดภัยในการเดินทาง
สำหรับ Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ที่เคยสร้างความฮือฮาเมื่อปลายปี 2019 ยังคงเป็น SUV ยอดนิยมที่ผสานความหรูหราและแข็งแกร่งได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ภายนอกที่สะท้อนปรัชญา Sensual Purity พร้อมชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน และไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่เป็นเอกลักษณ์ ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น 80 มิลลิเมตร พร้อมเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa และระบบมัลติมีเดีย MBUX ครบครัน ระบบความปลอดภัยของ GLE ยังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist และ Active Lane Keeping Assist ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทำให้ GLE เป็นตัวเลือกอันชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการ รถยนต์อเนกประสงค์ ที่ครบครัน
พลังแห่งสมรรถนะ: Mercedes-AMG GLC Coupé – ประสบการณ์สปอร์ตเหนือระดับ
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและ สมรรถนะสูง ตระกูล Mercedes-AMG คือคำตอบที่ไร้ข้อกังขา และในปี 2025 นี้ Mercedes-AMG GLC Coupé ทั้งรุ่น 63 S 4MATIC+ และ 43 4MATIC ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ AMG ในประเทศไทย ที่ได้ขยายฐานลูกค้าและสร้างชุมชนผู้รักความเร็วได้อย่างแข็งแกร่งมาโดยตลอด
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือที่สุดแห่ง SUV Coupé สมรรถนะสูง ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดุดันจากชุดแต่ง AMG bodystyling และกระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยเบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มด้วยหนัง AMG nappa leather พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้มด้วย DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่ม AMG steering wheel button ที่ช่วยให้ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ที่มาพร้อมโหมดการแสดงผลในสไตล์ AMG เช่น Classic, Sport และ Super sports ยิ่งเสริมอารมณ์สปอร์ต
หัวใจหลักของ 63 S คือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่แบบ Hot inside V ที่มอบพละกำลังมหาศาล ผสานกับระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 แบบ รวมถึงโหมด “RACE” ที่จำลองประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่ง ทำให้ GLC 63 S มอบ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่เร้าใจในทุกเส้นทาง
ส่วน Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ ที่เคยเปิดตัวโฉมใหม่เมื่อปลายปี 2019 ยังคงเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่ง DNA ของ AMG อย่างครบถ้วน ด้วยเครื่องยนต์ V6 Biturbo ที่ให้พละกำลังและความแรงที่ไม่เป็นรองใคร มาพร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ที่ปรับแต่งมาเพื่อการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ ภายในตกแต่งด้วยเบาะนั่ง AMG Sport seat ตัดสลับ DINAMICA microfibre พร้อมด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim เพิ่มความรู้สึกหรูหราและสปอร์ต ระบบ MBUX พร้อมจอแสดงผล All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และ AMG Head-up Display ล้วนเป็นฟังก์ชันที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบ
การลงทุนในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย AMG Brand Center แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการสร้างความเชื่อมั่นในด้าน บริการหลังการขาย และการมอบประสบการณ์แบบครบวงจรให้กับลูกค้ากลุ่ม AMG โดยเฉพาะ
ก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า: Mercedes-Benz E-Class Plug-in Hybrid และวิสัยทัศน์ EQ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้าน รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการนำเสนอ Plug-in Hybrid อย่าง Mercedes-Benz E 300 e ซึ่งในปี 2025 นี้ เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นสะพานเชื่อมสำคัญสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
E 300 e คือ ยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะ ที่ผสานสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียงเข้ากับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ขนาด 13.5 kWh ที่ใหญ่ขึ้นกว่า 110% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้ระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (เฉลี่ยเพียง 46 กรัมต่อกิโลเมตร) แต่ยังมอบอัตราการ ประหยัดพลังงาน ที่ดียิ่งขึ้นในโหมดไฮบริด และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มภายในเวลาเพียง 5 ชั่วโมงด้วยวอลล์บ็อกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
E-Class มาพร้อมดีไซน์ภายนอกภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ที่สง่างาม และภายในที่หรูหราสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือ Nappa พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส (Touch Control button) และจอแสดงผล Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่ต่อเนื่องกัน รวมถึงระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี
ในด้าน เทคโนโลยี EQ Boost และระบบความปลอดภัย E 300 e มาพร้อมกับ PRE-SAFE®, ESP®, ABS, ADAPTIVE BRAKE, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise control) และระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่ช่วยเชื่อมโยงผู้ขับขี่กับรถยนต์และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการได้อย่างไร้รอยต่อ
การเปิดตัว E 300 e ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ EQ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางแผนไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน เพื่อสร้างระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ครอบคลุม ตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ การให้บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จ และการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ซึ่งในปี 2025 นี้ เครือข่ายสถานีชาร์จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้า Plug-in Hybrid สามารถเข้าถึงการชาร์จได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น การที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ลงทุนในการผลิตแบตเตอรี่ในท้องถิ่นยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย): ผู้นำที่ยั่งยืนด้วยวิสัยทัศน์และนวัตกรรม
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์หรูอย่างต่อเนื่อง การที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันยาวนานกว่า 18 ปี (ข้อมูล ณ ปี 2018) และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแบรนด์ย่อยอย่าง Mercedes-AMG (กว่า 309%) รวมถึงยอดขายรถยนต์กลุ่ม SUV ที่เป็นหัวใจหลักของความสำเร็จ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จที่มาจากการวางกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ
ในปี 2025 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังคงรักษาปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่เน้นการนำเสนอ นวัตกรรม Mercedes-Benz และเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่กว่า 20 รุ่นในแต่ละปี (อ้างอิงจากแผนปี 2019 ซึ่งเป็นรากฐานที่ยังคงดำเนินอยู่) ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้ง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และแบรนด์เทคโนโลยี EQ
ความมุ่งมั่นในการสร้าง การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ การสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ การให้บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ เป็นสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ การขยาย เครือข่ายผู้จำหน่าย อย่างเป็นทางการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ (จาก 32 แห่งในปี 2019 เป็น 36 แห่ง และมีแผนขยายศูนย์บริการสีและตัวถังเพิ่มขึ้น) รวมถึงการยกระดับ ศูนย์บริการ Mercedes-Benz และการพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิคผ่านโครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ล้วนเป็นเครื่องสะท้อนถึงความใส่ใจใน “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดของลูกค้า” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์
สรุป: อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมยานยนต์หรู ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งจากประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความกล้าหาญในการบุกเบิก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ ศิลปะยานยนต์ ที่เหนือความคาดหมาย การนำเสนอ SUV หรู ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์มิได้ขายเพียงแค่รถยนต์ แต่ขายวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ และอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการผสาน เทคโนโลยีรถยนต์ ขั้นสูงเข้ากับ ดีไซน์หรู อันเป็นเอกลักษณ์ และความมุ่งมั่นในการมอบ บริการหลังการขาย ที่เหนือระดับ ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นผู้กำหนดทิศทางของยนตรกรรมในทศวรรษหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง
