ในโลกแห่งยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถหรูของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 นี้ แบรนด์ดาวสามแฉกไม่เพียงแต่นำเสนอความหรูหราและสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบนิเวศยานยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในวงการยานยนต์ ผมได้เห็นพัฒนาการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และนี่คือภาพรวมของทิศทางและโมเดลเด่นที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ในปัจจุบัน
บทบาทของศิลปะและนวัตกรรม: โปรเจกต์ Geländewagen กับ Off-White
ย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้แสดงให้เห็นถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของวงการยานยนต์ด้วยการผนวกศิลปะและแฟชั่นเข้ากับการออกแบบรถยนต์อย่างแท้จริง หนึ่งในโปรเจกต์ที่สร้างความฮือฮาและยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงจนถึงปี 2025 คือ “Project Geländewagen” ซึ่งเป็นการร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับจาก Off-White และ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของ Mercedes-Benz
โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับแต่งรถยนต์ G-Class อันเป็นตำนาน แต่เป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนยานพาหนะที่ท้าทายกรอบเดิมๆ พวกเขามองว่า G-Class แม้จะเป็นรถยนต์ 4×4 ที่พร้อมลุยในทุกสภาพพื้นผิว แต่ยังไม่เคยถูกนิยามให้เป็น “Race Car” อย่างแท้จริง ดังนั้น Virgil และ Gordon ซึ่งต่างก็เป็นเจ้าของ G-Class อยู่แล้ว จึงต้องการผลักดันขีดสุดของ DNA แห่ง G-Class ด้วยการผสมผสานความหรูหราแบบออฟโรดเข้ากับจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ G-Class ที่มีสัดส่วนกว้างขึ้นและเตี้ยลงอย่างชัดเจน ล้อแม็กและยางขนาดโอเวอร์ไซส์ที่ดูเหนือจริง แต่กลับเพิ่มความดุดันและฉูดฉาดให้กับรถคันนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ภายในห้องโดยสารถูกถอดแบบมาจากรถแข่ง: พวงมาลัยจากรถ Formula 1 อย่าง Project 1 และเบาะที่นั่งจากรถ DTM Car ของ Mercedes-Benz ชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยทั้งหมดถูกเน้นด้วยสีแดงสด ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยหรือมือจับประตู สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในรายละเอียดและการผสมผสานฟังก์ชันการใช้งานเข้ากับงานดีไซน์อย่างชาญฉลาด
แม้การประมูลรถยนต์คันพิเศษนี้จะจัดขึ้นทางออนไลน์โดย Sotheby’s ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 และรายได้สนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์นานาชาติ แต่มรดกทางแนวคิดของ Project Geländewagen ยังคงส่งอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน มันแสดงให้เห็นว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกในด้านการออกแบบที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม ศิลปะ และนวัตกรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมแห่งอนาคต
ก้าวล้ำนำสมัย: กลุ่มรถยนต์ SUV และ EQ Power ในปี 2025
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) และกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการนำเสนอหลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่ SUV หรูหราขนาดใหญ่ไปจนถึงรถยนต์ Plug-in Hybrid สมรรถนะสูง ที่ผสมผสานความประหยัดและรักษ์โลกได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz GLE Coupe: ความสปอร์ตที่ไร้การประนีประนอม
ในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน รถยนต์กลุ่ม SUV Coupe ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และ GLE Coupe ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่ผสมผสานความสปอร์ตของรถคูเป้เข้ากับความอเนกประสงค์ของ SUV ในปี 2025 GLE Coupe ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากรุ่นที่เปิดตัวในปี 2020 เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกว่าเดิม
ดีไซน์ภายนอกยังคงเอกลักษณ์หลังคาลาดเอียงแบบคูเป้ที่ผสานเข้ากับความแข็งแกร่งของ SUV ส่วนหน้ามีการปรับปรุงรายละเอียดให้ดูทันสมัยและดุดันยิ่งขึ้น ในขณะที่ไฟท้าย LED ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความเพรียวบางและหรูหราขึ้น สะท้อนถึงความปราณีตในการออกแบบของแบรนด์ ภายในห้องโดยสารยังคงรักษาความหรูหราและล้ำสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยแผงมาตรวัดแบบ Digital Widescreen Cockpit ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน ที่ให้ข้อมูลการขับขี่และความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เวอร์ชั่นล่าสุดที่ชาญฉลาดและตอบสนองด้วยคำสั่งเสียงที่เป็นธรรมชาติ
ภายใต้ฝากระโปรง GLE Coupe ยังคงมอบทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบที่ทรงพลัง ด้วยรุ่น 350 d 4MATIC ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า และ 400 d 4MATIC ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 330 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้รถมีความคล่องตัวและยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพเส้นทาง ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL (อุปกรณ์เสริม) ยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ GLE Coupe มีเสถียรภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ลดอาการโคลงและเพิ่มความสบายในการเดินทาง
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: นิยามใหม่ของ SUV หรู 7 ที่นั่ง
สำหรับผู้ที่มองหาสุดยอดยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียมแบบ 7 ที่นั่ง GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือคำตอบที่ลงตัวในปี 2025 รถรุ่นนี้ได้ชื่อว่าเป็น “S-Class แห่งโลก SUV” ด้วยความหรูหรา สง่างาม และความสะดวกสบายที่เหนือระดับในทุกรายละเอียด
GLS มาพร้อมขุมพลังดีเซลที่ทรงประสิทธิภาพ ผสานการออกแบบภายนอกที่โดดเด่นด้วยไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อมระบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่ให้ความสว่างและปรับลำแสงได้อัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในยามค่ำคืน ล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟไฟฟ้าช่วยเสริมภาพลักษณ์ความหรูหราได้เป็นอย่างดี
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งความสบาย ด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางเป็นพิเศษ รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน เบาะที่นั่งแถว 2 และ 3 สามารถปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน EASY-ENTRY สำหรับเข้าสู่ที่นั่งแถว 3 ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงสุดถึง 2,400 ลิตร เมื่อพับเบาะทั้งหมด ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital Widescreen Cockpit 2 จอ, ระบบ Head-up Display, ระบบนำทาง Hard Disc Navigation และระบบเสียง Burmester® Surround Sound System มอบประสบการณ์ความบันเทิงและการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ บริการ “Mercedes me connect” ยังคงเป็นฟีเจอร์สำคัญที่เชื่อมโยงรถยนต์กับผู้ขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด ทั้งการเรียกความช่วยเหลือฉุกเฉิน การวิเคราะห์สภาพรถยนต์ และการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน นับเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยี รถ SUV ที่ครบครัน
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic (รุ่นประกอบในประเทศ): ความหรูหราที่เข้าถึงง่ายขึ้น
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ในฐานะรุ่นประกอบในประเทศยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ SUV พรีเมียมในปี 2025 ด้วยการผสมผสานงานออกแบบ “Sensual Purity” เข้ากับความแข็งแกร่งดุดันแบบ SUV ได้อย่างลงตัว พร้อมข้อได้เปรียบด้านราคาและทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับตลาดในประเทศไทย
ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมที่สูงขึ้น และไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่เพิ่มความดุดัน ล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 21 นิ้วช่วยเสริมภาพลักษณ์สปอร์ตให้สมบูรณ์แบบ ภายในห้องโดยสารออกแบบอย่างประณีตด้วยหนัง ARTICO และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa แผงหน้าปัด Digital Widescreen Cockpit และระบบ MBUX พร้อม Touchpad ช่วยให้การควบคุมและเข้าถึงข้อมูลทำได้อย่างง่ายดาย
ระบบความปลอดภัยของ GLE 300 d ยังคงเป็นจุดเด่น ด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ล้ำสมัย เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์คันนี้เป็นหนึ่งใน รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับทุกการเดินทาง
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé และ GLC 43 4MATIC Coupé: สุดยอดสมรรถนะ SUV
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและ สมรรถนะสูง เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี (Mercedes-AMG) ยังคงนำเสนอรถยนต์ SUV Coupe ที่ร้อนแรงและน่าตื่นเต้นที่สุดในตลาดปี 2025
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือตัวแทนของความดุดันและสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยเครื่องยนต์ V8 Biturbo ขนาด 4 ลิตร ที่ติดตั้งเทอร์โบแบบ Hot inside V ทำให้มีกำลังมหาศาล ระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission และระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC+ พร้อม AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมด RACE มอบประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่งได้อย่างแท้จริง ภายในโดดเด่นด้วยเบาะ AMG Performance seats หุ้มหนัง Nappa และพวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้ม DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่มควบคุม AMG Steering Wheel Button เพิ่มความสะดวกสบายและเร้าใจ จอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว และ MBUX พร้อม Head-up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé (รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่) มอบสมรรถนะที่น่าตื่นเต้นในแพ็กเกจที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ V6 Biturbo ที่ทรงพลัง ระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ที่ปรับแต่งแบบ AMG Sports ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling และกระจังหน้า AMG-specific radiator grille ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะ AMG Sport seat หุ้มหนัง DINAMICA microfibre ตัดสลับกับด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim เสริมความสปอร์ต เทคโนโลยี MBUX และ Head-up Display แบบ AMG ยังคงเป็นมาตรฐาน เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ รถ AMG ทั้งสองรุ่นนี้สะท้อนถึงปรัชญา “One Man, One Engine” ที่ยังคงส่งต่อจิตวิญญาณแห่งวิศวกรรมความเร็วมาสู่ผู้ขับขี่ทุกคน
Mercedes-Benz E 300 e (รุ่นประกอบในประเทศ): อัจฉริยะแห่งยนตรกรรม Plug-in Hybrid
ในยุคที่ รถยนต์ไฟฟ้า และความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E 300 e รุ่นประกอบในประเทศยังคงเป็นหนึ่งในยนตรกรรม Plug-in Hybrid ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดปี 2025 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการสร้างสรรค์ นวัตกรรมยานยนต์ ที่ผสานความหรูหรา สมรรถนะ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน
E 300 e มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 13.5 kWh ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น และเพิ่มระยะทางในการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้สามารถขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างเงียบสงบและปราศจากมลพิษ พร้อมอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำมาก ระบบส่งกำลัง 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลและประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด
ดีไซน์ภายนอกยังคงความสง่างามตามแบบฉบับ E-Class ด้วยกระจังหน้าโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED หรือ LED High Performance (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ภายในห้องโดยสารมอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือ Nappa (ในรุ่น AMG Dynamic) แผงหน้าปัด Digital Widescreen Cockpit และระบบ MBUX พร้อม Ambient Lighting 64 สี สร้างบรรยากาศที่หรูหราและผ่อนคลาย ระบบความปลอดภัย PRE-SAFE®, ESP®, Active Brake Assist และ Parking Pilot คือส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ บริการ “Mercedes me connect” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์และบริการต่างๆ ได้อย่างราบรื่น
E 300 e นำเสนอใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic พร้อมราคาที่น่าสนใจ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการ รถหรู ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด ล้ำสมัย
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย: ระบบนิเวศแห่งความสำเร็จและอนาคตที่ยั่งยืน
จากความสำเร็จในการเป็นผู้นำตลาดรถหรูมายาวนานกว่า 18 ปี เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเสนอรถยนต์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศยานยนต์ที่แข็งแกร่งและครบวงจรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
ในปี 2025 แบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายพอร์ตโฟลิโอรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้ง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และแบรนด์เทคโนโลยี EQ ที่มุ่งเน้น รถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ นอกจากการแนะนำรุ่นใหม่ๆ แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น การขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับเครือโรงแรมชั้นนำและพันธมิตรอื่นๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ทำให้ปัจจุบันมีจุดชาร์จมากกว่า 200 แห่ง และมีแผนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หัวใจสำคัญอีกประการคือ บริการหลังการขาย (After-sales service) ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญสูงสุด คลังอะไหล่แห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ได้เปิดดำเนินการแล้วตั้งแต่ปี 2020 ด้วยระบบการจัดการที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายอะไหล่ให้แก่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด เครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 36 แห่ง และศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกกว่า 15 แห่ง เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ การพัฒนาบุคลากรก็เป็นสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ยังคงผลิตช่างเทคนิคที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์จะได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญแท้จริง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเดินหน้าสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าผ่านกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ภายใต้แพลตฟอร์ม “She’s Mercedes” และการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแบรนด์
ในภาพรวมของปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์รถหรูที่นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อน เทคโนโลยีรถยนต์ และนวัตกรรมที่ยั่งยืน สร้างสรรค์ระบบนิเวศยานยนต์ที่ครบวงจร และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการมอบ “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” ในทุกมิติอย่างแท้จริง
