ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ปี 2025 คือช่วงเวลาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แบรนด์ดาวสามแฉกที่ไม่เพียงยืนหยัดในฐานะผู้นำแห่งยนตรกรรมหรู แต่ยังก้าวล้ำนำสมัยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว จากจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์งานศิลปะบนผืนเหล็กกล้า สู่การขับเคลื่อนอนาคตด้วยพลังงานสะอาดและสมรรถนะอันเหนือชั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบ “ประสบการณ์ขับขี่” ที่เหนือกว่าที่เคยมีมา
บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยถึงหมุดหมายสำคัญในอดีต พร้อมสำรวจทิศทางปัจจุบันและอนาคตที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้ และยังคงต่อยอดอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงปี 2025 ที่เรายืนอยู่ตรงนี้
Project Geländewagen: เมื่อศิลปะและยานยนต์หลอมรวมเป็นหนึ่ง
ย้อนกลับไปในปี 2020 โลกได้ตื่นตะลึงกับโปรเจกต์พิเศษ “Project Geländewagen” ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ผนึกกำลังกับ Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์แห่ง Off-White และ Louis Vuitton ในขณะนั้น ร่วมกับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์ แต่คือผลงานศิลปะเคลื่อนที่ที่ฉีกทุกกรอบของ Mercedes-Benz G-Class ที่เราคุ้นเคย
ในฐานะนักออกแบบที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ Virgil Abloh ได้นำมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์มาสู่ G-Class ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือรถยนต์ 4×4 ที่แข็งแกร่ง พวกเขามีวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็น “Race Car” ที่ผสานความหรูหราเข้ากับความดิบเถื่อนได้อย่างลงตัว โดยเพิ่มความกว้างและปรับให้ตัวรถเตี้ยลงอย่างมาก ล้อแม็กและยางที่มีขนาดเกินจริง สร้างความฉูดฉาดและแตกต่าง พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจาก Project 1 รถ Formula 1 และเบาะนั่งจากรถ DTM ล้วนตอกย้ำจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยถูกแต้มด้วยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความเร็วและงานศิลป์
ในสายตาของปี 2025 Project Geländewagen ไม่ได้เป็นเพียงแค่การประมูลที่ประสบความสำเร็จเพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์นานาชาติของ Sotheby’s เท่านั้น แต่ยังเป็นประจักษ์พยานถึงความกล้าหาญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ และสร้างปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่แค่ในวงการยานยนต์ แต่ยังรวมถึงวงการศิลปะและแฟชั่น แสดงให้เห็นถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของคำว่า “รถยนต์” สู่การเป็น “ผลงานชิ้นเอก” ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การร่วมมือในลักษณะนี้ได้กลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้แบรนด์หรูอื่นๆ หันมามองการผสมผสานระหว่างศิลปะ แฟชั่น และยานยนต์ในรูปแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและหลากหลายในปัจจุบัน
การช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในตลาด SUV พรีเมียม: บทเรียนสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน
หากย้อนไปช่วงปี 2019-2020 การแข่งขันในตลาด SUV ทรงคูเป้ระหว่าง Mercedes-Benz GLE Coupe และ BMW X6 ดุเดือดอย่างเห็นได้ชัด เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัว All-new GLE Coupe 2020 เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดที่ BMW X6 (E71) เคยบุกเบิกและประสบความสำเร็จไปก่อนหน้านี้ การที่ Mercedes-Benz ตัดสินใจเข้าสู่สนามนี้อย่างเต็มตัวด้วย GLE Coupe แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ “รถหรู” ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่มองหาทั้งความสง่างามและสมรรถนะในแพ็กเกจที่ดูโฉบเฉี่ยว
ในยุค 2025 นี้ All-new GLE Coupe และ GLS เจเนอเรชั่นปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาไปไกลกว่ารุ่นที่เปิดตัวในปี 2020 อย่างมาก ด้วยการนำเทคโนโลยีและดีไซน์ที่ล้ำสมัยมาผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว รถยนต์ SUV พรีเมียมเหล่านี้ยังคงเป็นหัวใจหลักของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในตลาดโลก รวมถึงในประเทศไทย สิ่งที่เคยเป็นจุดเด่นในรุ่นก่อนหน้า เช่น การออกแบบภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจจากห้องบัญชาการอวกาศ ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วสองจอ และระบบ MBUX ที่ชาญฉลาด สามารถเข้าใจสำนวนการพูดปกติของผู้ขับขี่ ได้รับการพัฒนาให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้นไปอีกขั้นในรุ่นปัจจุบัน โดยมีการรวมระบบ AI และการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อเข้ากับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้ใช้งาน
เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ที่สามารถกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้ 0-100% ตามสถานการณ์ ได้รับการปรับปรุงให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ระบบกันสะเทือนสปริงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ซึ่งเคยเป็นออปชันเสริม ได้รับการปรับปรุงและผสานเข้ากับระบบอัจฉริยะของรถยนต์อย่างกลมกลืนยิ่งขึ้น ทำให้การขับขี่ในทุกสภาพถนนเป็นไปอย่างนุ่มนวล มั่นคง และปลอดภัยสูงสุด การลงทุนใน “นวัตกรรมยานยนต์” เหล่านี้ ทำให้ GLE และ GLS เจเนอเรชั่นล่าสุดยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ให้ทั้งความหรูหรา พื้นที่ใช้สอย และสมรรถนะที่ไว้วางใจได้
นอกจากนี้ การเสริมทัพด้วย Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé และ GLC 43 4MATIC Coupé ที่เปิดตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ได้ตอกย้ำความแข็งแกร่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในตลาด SUV สมรรถนะสูง รถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ยังคงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานดีไซน์สปอร์ตคูเป้เข้ากับความดุดันของ SUV จากค่าย AMG ที่เน้นย้ำถึง “สมรรถนะสูง” และ “ประสบการณ์ขับขี่” ที่เร้าใจ ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 4 ลิตร ในรุ่น 63 S และ V6 เทอร์โบคู่ในรุ่น 43 พร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และ AMG RIDE CONTROL+ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ AMG ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้รถยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นรถยนต์หรู แต่ยังเป็นเครื่องจักรแห่งความเร็วที่พร้อมสำหรับทุกเส้นทาง
การขับเคลื่อนสู่อนาคต: EQ Power และการขยายเครือข่าย
ในช่วงปี 2019 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้ประกาศกลยุทธ์สำคัญในการมุ่งเน้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EQ) และขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย รวมถึงบริการหลังการขาย นับเป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการตอบรับเทรนด์ยานยนต์โลกและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาด “รถยนต์พลังงานทางเลือก” ซึ่งมาจนถึงปี 2025 นี้ เราเห็นว่าวิสัยทัศน์เหล่านั้นได้กลายเป็นความจริงและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
การเปิดตัว Mercedes-Benz E 300 e Plug-in Hybrid ในช่วงปลายปี 2019 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ปูทางให้กับแบรนด์ EQ ในประเทศไทย ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 13.5 kWh ที่เพิ่มขึ้น 110% จากรุ่นก่อนหน้า ทำให้ E 300 e สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลขึ้น และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดที่ดีเยี่ยม การที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 100% ได้ภายใน 5 ชั่วโมงด้วย Wallbox ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า การผสานพลังของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า ทำให้ได้ System Output รวมสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับรถยนต์ Plug-in Hybrid ในยุคนั้น และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนา “รถยนต์ไฟฟ้า” รุ่นต่อๆ มา
มาถึงปี 2025 แบรนด์ EQ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ได้มีเพียงแค่ EQ Power (Plug-in Hybrid) เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง EQ Power+ (สำหรับรถยนต์ AMG ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดสมรรถนะสูง) และ EQ (สำหรับรถยนต์ Battery Electric Vehicles หรือ BEV) ที่มีรุ่นให้เลือกหลากหลาย การลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ รวมถึงการจับมือกับเครือโรงแรมชั้นนำเพื่อขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2019 และขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีจุดชาร์จกว่า 200 แห่งในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง “ระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทย
นอกจากนี้ “นวัตกรรมยานยนต์” ด้านบริการหลังการขายก็ได้รับการยกระดับเช่นกัน การเปิดคลังอะไหล่แห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ในปี 2020 ด้วยระบบจัดการที่ทันสมัย เพื่อให้มั่นใจว่ามีอะไหล่เพียงพอและสามารถกระจายสู่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ในระยะยาว
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย: ผู้นำที่ยั่งยืน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถหรูติดต่อกันมาอย่างยาวนานกว่าสองทศวรรษ (ซึ่งเริ่มต้นด้วยการครองแชมป์ 18 ปีติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2018) แต่ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่ขับเคลื่อน “เทคโนโลยียานยนต์” และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2019 บริษัทฯ มีแผนที่จะนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่มากกว่า 20 รุ่น ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ และมีการปูพรมกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์หลักอย่าง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และแบรนด์เทคโนโลยี EQ แผนการเหล่านี้ได้ถูกดำเนินการและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2025 เห็นได้จากการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ AMG ด้วยซีรีส์ 53 (CLS 53 4MATIC+ และ E 53 4MATIC+ Coupé) ที่ผสาน EQ Boost เข้ามาเพิ่มพลังขับเคลื่อน และการเปิด AMG Brand Center แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 11 แห่งทั่วโลก สะท้อนถึงความสำคัญของตลาดไทยในสายตาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ระดับโลก
ด้าน “บริการหลังการขาย” และ “เครือข่ายผู้จำหน่าย” ก็ได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จากการวางแผนขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเพิ่มอีกสี่แห่งในปี 2019 ทำให้มีรวม 36 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปีนั้น และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2025 เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และมอบ “ประสบการณ์ลูกค้า” ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ โครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ที่ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิค ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบุคลากรคุณภาพเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และ “รถยนต์ไฟฟ้า” ในอนาคต
สรุป: เส้นทางสู่ความเป็นเลิศที่ไม่สิ้นสุด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่ผลิต “รถหรู” แต่คือสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น นวัตกรรม และความรับผิดชอบต่ออนาคต จากการร่วมมือกับศิลปินระดับโลกเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะบนรถยนต์ ไปจนถึงการเป็นผู้บุกเบิกในตลาด SUV พรีเมียม และผู้นำในการขับเคลื่อน “ยานยนต์พลังงานทางเลือก” แบรนด์ดาวสามแฉกได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเสมอมา
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์ เรามองเห็นถึงความทุ่มเทของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการพัฒนา “เทคโนโลยียานยนต์” ที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังมองการณ์ไกลถึงอนาคต การลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างเครือข่ายการชาร์จที่แข็งแกร่ง และการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม ล้วนเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมที่จะนำพาวงการยานยนต์ไปสู่ยุคใหม่ ด้วยปรัชญา “Sensual Purity” ที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความเรียบง่ายสง่างาม และการไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์ “ประสบการณ์ขับขี่” ที่เหนือกว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงยังคงเป็นมากกว่ารถยนต์ แต่คือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลและวิสัยทัศน์ที่ไร้ขีดจำกัดในโลกยานยนต์ปี 2025

