ในปี 2025 นี้ วงการยานยนต์ทั่วโลกยังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงยิ่งกว่าที่เคย โดยมีผู้เล่นระดับตำนานอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ยืนหยัดเป็นผู้นำที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์และนิยามใหม่ของคำว่า “ยานยนต์พรีเมียม” ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดาวสามแฉกได้พิสูจน์ให้เห็นถึงปรัชญาที่ลึกซึ้งในการผสมผสานความสง่างามเหนือกาลเวลาเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ก้าวล้ำ ซึ่งในปีปัจจุบันนี้ แนวคิดดังกล่าวยิ่งทวีความชัดเจนและเข้มข้นขึ้น สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหายานพาหนะที่เป็นมากกว่าแค่การเดินทาง แต่คือการสะท้อนตัวตน วิสัยทัศน์ และการใช้ชีวิต
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในแวดวงยานยนต์ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ และที่สำคัญที่สุดคือการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งดิจิทัลไลเซชัน (Digitalization) และยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles – EV) เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เพียงแต่ปรับตัวตามกระแส แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการสร้าง “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” (Superior Driving Experience) ที่เชื่อมโยงผู้ขับขี่เข้ากับรถยนต์อย่างแนบเนียน พร้อมกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ตั้งแต่การนำเสนอรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) ไปจนถึงการบุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ EQ
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงวิสัยทัศน์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังนำเสนอในปี 2025 ผ่านการรำลึกถึงโปรเจกต์อันโดดเด่นในอดีต การวิเคราะห์ตำแหน่งในตลาดปัจจุบัน รวมถึงการสำรวจยนตรกรรมเรือธงรุ่นต่างๆ ที่ยังคงเป็นที่ต้องการ และเป็นหมุดหมายแห่งความปรารถนาของผู้คนทั่วโลก การขับเคลื่อนในยุคนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็ว แต่เป็นเรื่องของความชาญฉลาด ความรับผิดชอบ และความงดงามที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยึดมั่น
Mercedes-Benz G-Class x Off-White: เมื่อศิลปะบรรจบกับยานยนต์ระดับตำนาน
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการยานยนต์และแฟชั่นได้ตื่นตะลึงกับโปรเจกต์ Geländewagen อันเป็นผลงานการร่วมมือสุดพิเศษระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Off-White และ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำว่า G-Class ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์ออฟโรด 4×4 ที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นผืนผ้าใบที่ไร้ขีดจำกัดสำหรับงานศิลปะชั้นสูง
โปรเจกต์ Geländewagen ในครั้งนั้นคือการพลิกโฉม G-Class ให้กลายเป็น “Race Car” ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ด้วยการปรับแต่งให้ตัวรถกว้างขึ้น เตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด และติดตั้งล้อแม็กพร้อมยางขนาดใหญ่เกินจริง สร้างสุนทรียภาพที่แปลกตาแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง องค์ประกอบภายในถูกยกมาจากรถแข่ง Formula 1 และ DTM Car ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยจาก Project 1 หรือเบาะที่นั่งสไตล์รถแข่ง ทุกชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยถูกแต้มด้วยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความเร็วและความปลอดภัยในแบบฉบับรถแข่ง ผลงานชิ้นนี้ได้ถูกประมูลผ่าน Sotheby’s เพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับนานาชาติ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่กล้าฉีกกรอบ ยอมให้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์เข้ามาหลอมรวมกับวิศวกรรมยานยนต์อันเป็นเลิศ สร้าง “การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์” ที่ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงจนถึงทุกวันนี้ และย้ำเตือนว่าความหรูหรามิใช่เพียงความสวยงาม แต่คือการสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
Mercedes-Benz GLE Coupe และคู่แข่งตลอดกาล: การแข่งขันที่ไม่มีวันจบสิ้น
หากจะกล่าวถึงตลาดรถยนต์ SUV Coupe ระดับพรีเมียม ชื่อของ Mercedes-Benz GLE Coupe ย่อมเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคนึกถึง ยนตรกรรมรุ่นนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ที่เน้นการผสานความสปอร์ตของรถคูเป้เข้ากับความอเนกประสงค์ของรถ SUV ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงที่ BMW X6 เปิดตัวเป็นรายแรก การตอบรับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วย GLE Coupe ไม่ได้เป็นเพียงการเดินตาม แต่เป็นการนำเสนอทางเลือกที่แตกต่างและโดดเด่น ซึ่งยังคงความแข็งแกร่งในการแข่งขันมาจนถึงปี 2025
ในเวอร์ชันปัจจุบันของ GLE Coupe ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากรุ่นปี 2020 เป็นต้นมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ยกระดับความสปอร์ตและความหรูหราให้ถึงขีดสุด ด้วยแนวหลังคาที่ลาดเอียงลงจรดท้ายรถอย่างสง่างาม ให้ภาพลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวและไม่ซ้ำใคร ไฟท้ายได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความเพรียวบางยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความกว้างขวางและมั่นคง สื่อถึง “ความหรูหราทันสมัย” ที่เป็นหัวใจของการออกแบบในยุคดิจิทัล
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งเทคโนโลยีและความสะดวกสบายที่ยังคงเป็นต้นแบบ ด้วยแผงมาตรวัดแบบ Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน พร้อมระบบผู้ช่วย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เวอร์ชั่นล่าสุดที่เรียนรู้และเข้าใจสำเนียงการสนทนาของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น ตอบสนองทุกคำสั่งได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับอุณหภูมิ เลือกเพลง หรือค้นหาเส้นทาง แผงควบคุมกลางที่หวือหวาและล้ำสมัย พร้อมไฟ Ambient Light ที่ปรับเฉดสีได้หลากหลายกว่าครึ่งร้อย สร้างบรรยากาศที่เหนือจริงราวกับอยู่ในห้องบัญชาการอวกาศ วัสดุตกแต่งภายในที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหนังสังเคราะห์ ARTICO หรือหนัง Nappa แท้ในรุ่นท็อป ล้วนตอกย้ำถึงมาตรฐาน “ความหรูหรา” ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยึดมั่น
ในด้านสมรรถนะ GLE Coupe ยังคงไม่เป็นสองรองใคร ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบที่ให้กำลังสูงสุดถึง 330 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร ในรุ่น 400 d 4MATIC จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) และ “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ” (Intelligent Drivetrain) 4MATIC ที่สามารถถ่ายเทแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้แบบ On-Demand 0-100% พร้อมการกระจายแรงบิดแตกต่างกันในแต่ละล้อ เพื่อลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือท้ายปัด ช่วยให้การควบคุม “ว่องไวและคล่องตัวมากขึ้น” ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ยังคงเป็นฟีเจอร์เด่นที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวถังให้มั่นคงสูงสุด มอบ “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” ไม่ว่าจะบนทางเรียบหรือเส้นทางที่ท้าทาย ความปลอดภัยระดับสูงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญยิ่งยวด ด้วยชุดระบบช่วยเหลือการขับขี่และ “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ที่คอยดูแลผู้โดยสารตลอดการเดินทาง
กลยุทธ์ของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ในปี 2025: ผู้นำที่ไร้เทียมทาน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังคงรักษาสถานะผู้นำตลาดรถยนต์หรูมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี และในปี 2025 นี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะตอกย้ำตำแหน่งดังกล่าวด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและมองการณ์ไกล โดยยึดหลัก 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และการสร้าง “ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด” (Best Customer Experience)
ในด้านผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ มีแผนการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัดอยู่แค่รถยนต์สันดาปภายใน แต่ยังรวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดภายใต้แบรนด์ EQ Power และรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ EQ ซึ่งเป็นทิศทางหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก “นวัตกรรมยานยนต์” เหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์ SUV และรถยนต์สมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง “ความยั่งยืน” ให้กับโลกของเรา
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้า” ถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ มากยิ่งขึ้น ร่วมกับพันธมิตรโรงแรมชั้นนำและสถานที่สำคัญทั่วประเทศ พร้อมทั้งเดินหน้าก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยี EV ซึ่งทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบสำคัญในการสร้าง “ระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบ
ในด้าน “บริการหลังการขาย” (After-sales Service) บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานการบริการให้เหนือความคาดหมาย ด้วยการลงทุนในคลังอะไหล่แห่งใหม่ที่ทันสมัย พร้อมระบบจัดการด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้มั่นใจว่าอะไหล่แท้จะพร้อมให้บริการลูกค้าอย่างรวดเร็วและแม่นยำที่สุด นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษา หรือบริการซ่อมสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
ที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าผ่าน “ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด” โดยยังคงสานต่อกิจกรรมไลฟ์สไตล์ภายใต้แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง “She’s Mercedes” เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มสุภาพสตรี รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ที่ทันสมัยเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่ขาย “ไลฟ์สไตล์” และ “ความผูกพัน” ที่ยั่งยืน
เจาะลึก 5 ยนตรกรรมเรือธงในยุคปัจจุบัน: นิยามใหม่แห่งความหรูหราและสมรรถนะ
เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้นำเสนอยนตรกรรมหลากหลายรุ่นที่ยังคงเป็นผู้นำและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 รุ่นที่เคยสร้างความฮือฮาและยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: S-Class แห่งโลก SUV
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือนิยามของยานยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียมขนาดใหญ่แบบ 7 ที่นั่งที่ยังคงความโดดเด่นไม่เปลี่ยนแปลงในตลาดปัจจุบัน ด้วยการขนานนามว่าเป็น “S-Class แห่งโลก SUV” GLS มอบความหรูหราสง่างามและ “ความสะดวกสบายสูงสุด” เทียบเท่ารถยนต์ซีดานเรือธง ผสานกับความแกร่งแบบรถลุย
ดีไซน์ภายนอกยังคงความภาคภูมิใจด้วยเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูง ULTRA RANGE Highbeam ที่ทำงานด้วยหลอด LED จำนวน 112 หลอดต่อโคม สามารถปรับความเข้มและยาวของลำแสงได้อย่างอัจฉริยะ ล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เสริมความสมบูรณ์แบบให้กับรูปลักษณ์อันน่าเกรงขาม
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเป็นพิเศษ รองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ท่านอย่างแท้จริง ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างอิสระ เพิ่มความอเนกประสงค์สูงสุดสำหรับทุกการใช้งาน พร้อมระบบ EASY-ENTRY ที่ช่วยให้การเข้า-ออกแถวที่ 3 เป็นเรื่องง่าย ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผลแบบ Digital widescreen cockpit 2 จอต่อเนื่อง และระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” ที่ฉลาดล้ำ ยังคงเป็นหัวใจของการเชื่อมต่อ “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ฟังก์ชันเชื่อมต่อ Apple CarPlay™ & Android Auto™ และ “บริการ Mercedes me connect” ซึ่งรวมถึงระบบโทรฉุกเฉินและระบบวิเคราะห์สภาพรถ Tele diagnostics ช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกการเดินทาง
ด้วย “ประสิทธิภาพพลังงาน” จากขุมพลังดีเซลที่ยังคงน่าประทับใจ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวที่มองหา “ความปลอดภัยขั้นสูงสุด” และความหรูหราเหนือระดับในทุกเส้นทาง
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ: ความสมบูรณ์แบบที่ลงตัว
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ยังคงเป็นหนึ่งในยนตรกรรม SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตเข้ากับ “ความสง่างาม” และ “ความอเนกประสงค์” อย่างลงตัว การออกแบบที่ยึดมั่นในปรัชญา Sensual Purity ทำให้ GLE มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าลาย 6 เหลี่ยม ชุดไฟหน้า MULTIBEAM LED อัจฉริยะ หรือ AMG Bodystyling รอบคัน พร้อมล้ออัลลอยด์ AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 21 นิ้ว ที่เติมเต็มความดุดัน
ภายในห้องโดยสารคือพื้นที่แห่ง “ความหรูหรา” และ “ความล้ำสมัย” ด้วยฐานล้อที่ยาวถึง 2,995 มิลลิเมตร มอบพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa คู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ แผงคอนโซลหน้าและแผงประตูหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่อง ระบบ Head-up display และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® ล้วนยกระดับ “ระบบอินโฟเทนเมนต์” ให้เหนือกว่าคู่แข่ง หลังคาพาโนรามิกซันรูฟที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง
GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic มาพร้อม “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ” 4ETS และ “ระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด” ที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ซึ่งเป็น “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัยสูงสุด ทำให้ GLE ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในตลาด SUV พรีเมียม
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: พลังแห่งสมรรถนะที่เร้าใจ
สำหรับผู้ที่หลงใหลใน “สมรรถนะสูง” และความเร้าใจในการขับขี่ Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé ยังคงเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยการผสานดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวแบบคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งดุดันแบบ SUV ในแบบฉบับของ AMG
ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling รอบคัน กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง ล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว และเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่ทำงานรวดเร็วและแม่นยำ ฝากระโปรงหลังพร้อมปีก AMG และดิฟฟิวเซอร์สไตล์ใหม่ เสริม “ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์” และ “การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์” ที่สื่อถึงพลังที่ซ่อนอยู่
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งความสปอร์ตแท้จริง ด้วยเบาะที่นั่ง AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้มหนัง DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่ม AMG steering wheel button ที่ช่วยให้ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ที่มีโหมดแสดงผลสไตล์ AMG และระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.35 นิ้ว และ Touchpad มอบ “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” ที่เข้าถึงทุกคำสั่งได้เพียงปลายนิ้ว
หัวใจสำคัญของ GLC 63 S คือเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ทวินเทอร์โบแบบ Hot inside V ที่มอบพละกำลังมหาศาล ผสานกับระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission และ “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ” AMG Performance 4MATIC พร้อม “ระบบกันสะเทือน” AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมด “RACE” ให้เลือก เพื่อปลดปล่อย “สมรรถนะสูง” ได้อย่างเต็มพิกัดในสนามแข่ง รวมถึง “ความปลอดภัยขั้นสูงสุด” จากระบบ PRE-SAFE®, ESP® และระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ ABA ทำให้ GLC 63 S ยังคงเป็นสุดยอดรถยนต์ SUV Coupé ที่ให้ทั้งความเร้าใจและความมั่นใจในทุกสถานการณ์
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่: สมรรถนะที่เข้าถึงได้
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé โฉมใหม่ ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัส “สมรรถนะสูง” ในแบบฉบับ AMG แต่ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วย “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ” AMG Performance 4MATIC และดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวที่ยังคงความสดใหม่ในตลาดปัจจุบัน
ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grill, ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 20 นิ้ว พร้อมปลายท่อไอเสียแบบ 4-pipe look และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ที่ปรับแต่งแบบ AMG sports สร้าง “การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์” ที่สื่อถึงพลังและความแข็งแกร่ง
ภายในห้องโดยสารมอบบรรยากาศสปอร์ตด้วยเบาะที่นั่ง AMG Sport seat หุ้มหนังตัดสลับ DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง แผงคาร์บอนไฟเบอร์ AMG Carbon-fibre trim พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมหน้าจอเรือนไมล์ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และระบบ Head-up Display แบบ AMG ที่แสดงข้อมูลสำคัญบนกระจกบังลมหน้า ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับ “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” และการเชื่อมต่อ “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ผ่าน “บริการ Mercedes me connect”
หัวใจของ GLC 43 คือเครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบแบบ Biturbo ที่มาพร้อมระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของชุดเทอร์โบ (boost pressure) ที่ได้รับการพัฒนาให้มี “ประสิทธิภาพพลังงาน” สูงขึ้น และยังคงมอบพละกำลังที่น่าประทับใจ ผสานกับระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT TCT 9G และ “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ” AMG Performance 4MATIC ที่มอบการขับขี่ที่มั่นคงและเร้าใจ ระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT พร้อม “ระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด” อาทิ Distance Pilot DISTRONIC ช่วยให้การเดินทางทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ทำให้ GLC 43 ยังคงเป็นรถยนต์ SUV Coupé ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ: ยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะแห่งอนาคต
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ ยังคงเป็นหนึ่งในยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะที่โดดเด่นในตลาด Plug-in Hybrid ในปี 2025 โดยเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ที่แสดงถึง “ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี” และ “ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” ด้วยการผสานเครื่องยนต์เบนซินเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่มีความจุ 13.5 kWh ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ E 300 e สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลขึ้น และมี “ประสิทธิภาพพลังงาน” ที่ดียิ่งขึ้นในโหมดไฮบริด
ดีไซน์ภายนอกยังคงความสง่างามภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED ในรุ่น AMG Dynamic และ Exclusive พร้อมระบบไฟสูง ULTRA RANGE Highbeam ที่ทำงานอัจฉริยะ ส่วนรุ่น Avantgarde มาพร้อมไฟหน้า LED High Performance หลังคาพาโนรามิกซันรูฟในรุ่น AMG Dynamic เพิ่มสุนทรียะในการขับขี่
ภายในห้องโดยสารมอบ “ความหรูหราทันสมัย” และ “ความสะดวกสบายสูงสุด” ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือหนัง Nappa ในรุ่น AMG Dynamic ที่นั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส และ “ระบบอินโฟเทนเมนต์” Audio 20 GPS พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับได้ถึง 64 สี สร้างบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ในทุกการเดินทาง
ในด้าน “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” และ “ความปลอดภัยขั้นสูงสุด” E 300 e มาพร้อมระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE®, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP®, ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE, ระบบรักษาความเร็ว Cruise Control และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้า ATTENTION ASSIST นอกจากนี้ “บริการ Mercedes me connect” ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่ รถยนต์ และศูนย์บริการ
ด้วยกำลังรวมสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร จากการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,991 ซีซี และมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่นุ่มนวลและ “ประหยัดเชื้อเพลิง” E 300 e จึงเป็นยานยนต์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้บริหารและผู้ที่มองหา “ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ” ที่ผสมผสาน “สมรรถนะสูง” เข้ากับ “ความยั่งยืน” ได้อย่างลงตัว
บทสรุป: ก้าวต่อไปของดาวสามแฉก
ในปี 2025 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งยานยนต์หรูหราที่มิเคยหยุดนิ่งในการแสวงหานวัตกรรม ด้วย “วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล” และ “ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์” ที่ไม่เคยลดถอย ตั้งแต่การนำเสนอการออกแบบที่ท้าทายกรอบอย่าง G-Class x Off-White ไปจนถึงการยกระดับยนตรกรรม SUV Coupe ที่แข่งขันอย่างดุเดือดอย่าง GLE Coupe และการเป็นผู้นำใน “ตลาด Plug-in Hybrid” ด้วย E 300 e รวมถึงการมอบ “สมรรถนะสูง” อันเป็นเอกลักษณ์ผ่านโมเดล AMG
กลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ที่เน้นทั้งผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ “ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด” เป็นเครื่องยืนยันว่าดาวสามแฉกนี้ไม่ได้เพียงแต่มองไปข้างหน้า แต่กำลังขับเคลื่อน “ยานยนต์แห่งอนาคต” มาสู่ปัจจุบันได้อย่างน่าทึ่ง “ความปลอดภัยขั้นสูงสุด” “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” และ “การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์” ที่ผนวกรวมอยู่ในทุกโมเดล คือหัวใจที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์ที่สร้าง “แรงบันดาลใจ” และ “ความปรารถนา” ในใจของผู้คนทั่วโลกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

