ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงตอกย้ำสถานะผู้นำแห่งยนตรกรรมหรู สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง และนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศไทยที่ความต้องการรถยนต์ระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีล้ำสมัยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทั้งในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ SUV ที่หลากหลาย รวมถึงการยกระดับสมรรถนะจากแบรนด์ Mercedes-AMG และบริการหลังการขายที่ไร้เทียมทาน
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2020 เราได้เห็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ก้าวไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบที่กล้าหาญและความกล้าที่จะฉีกกรอบอย่างแท้จริง หนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าจดจำคือการผนึกกำลังระหว่าง Virgil Abloh อดีต CEO ของ Off-White และ Artistic Director ของ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของ Mercedes-Benz ในโปรเจกต์ “Geländewagen” รถยนต์ศิลปะที่เปลี่ยน G-Class รถ Off-road 4×4 ให้กลายเป็นรถแข่งดีไซน์ล้ำสมัย ตัวถังที่กว้างขึ้น ล้อและยางขนาดเกินจริง พวงมาลัยจาก Project 1 Formula 1 และเบาะนั่งจากรถ DTM Car คือการผสมผสานที่บ้าคลั่งแต่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่จบลงด้วยการประมูลเพื่อการกุศล แต่ความร่วมมือครั้งนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจและตอกย้ำว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้สร้างงานศิลปะและวัฒนธรรมยานยนต์ การดีไซน์ภายใต้แนวคิด “Sensual Purity” ยังคงเป็นแกนหลักที่ผสมผสานความสง่างามเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ซึ่งเรายังคงเห็นแนวคิดนี้สะท้อนอยู่ในทุกรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปัจจุบัน
การปฏิวัติในกลุ่ม SUV: จากความท้าทายสู่การครองใจ
กลุ่มรถยนต์ SUV ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ตลาดนี้มีการแข่งขันสูง แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์พรีเมียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภค หากย้อนดูช่วงปี 2020 การเปิดตัว All-new Mercedes-Benz GLE Coupe ในขณะนั้นได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมากในตลาดรถยนต์เอสยูวีคูเป้ ซึ่งเป็นการตอบโต้คู่แข่งที่เคยบุกเบิกตลาดนี้ไปก่อนหน้านี้อย่างสมศักดิ์ศรี
ในปัจจุบันปี 2025 Mercedes-Benz GLE Coupe ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ SUV หรู ที่ผสมผสานความสปอร์ตของรถคูเป้เข้ากับความอเนกประสงค์ของ SUV ได้อย่างลงตัว ดีไซน์ภายนอกที่ยังคงความโดดเด่นด้วยแนวหลังคาที่ลาดเอียง ให้ลุคที่ปราดเปรียวกว่า GLE รุ่นปกติ แผงมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่สองจอต่อเนื่องกัน (12.3 นิ้ว) และระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เวอร์ชั่นล่าสุด ที่ชาญฉลาดและตอบสนองต่อคำสั่งเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่สามารถถ่ายเทแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้อย่างอิสระ ทำให้ GLE Coupe มีความคล่องตัวและยึดเกาะถนนได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือบนเส้นทางที่ท้าทาย นอกจากนี้ ทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 350 d หรือ 400 d ก็ยังคงมอบพละกำลังและแรงบิดที่เพียงพอต่อการใช้งาน ควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมันที่น่าพอใจ ทำให้ GLE Coupe เป็น รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ที่มาพร้อมกับสมรรถนะสูงอย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางสูงสุด Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2019 และยังคงเป็นเรือธงในกลุ่ม Large Full-Size SUV แบบ 7 ที่นั่งในปัจจุบัน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ GLS ได้รับการขนานนามว่าเป็น “S-Class แห่งกลุ่ม SUV” ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดทั้งภายในและภายนอก เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่ปรับความเข้มและทิศทางแสงได้อัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ในยามค่ำคืน ห้องโดยสารที่กว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 คนได้อย่างสบาย ด้วยเบาะนั่งแถว 2 และ 3 ที่ปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออก และปรับเปลี่ยนพื้นที่เก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร ระบบ MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว และ Head-up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ระบบ “Mercedes me connect” ยังช่วยให้เจ้าของรถเชื่อมต่อกับรถได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสถานะรถ หรือขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ เทคโนโลยีรถยนต์ ในยุคปัจจุบัน
ขณะที่ Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับตลาด SUV พรีเมียม ขนาดกลาง ด้วยดีไซน์ที่ผสานความแข็งแกร่งและสง่างามได้อย่างลงตัว ภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยโครเมียมและหนัง ARTICO พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa และเบาะนั่งคู่หน้าที่ปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ มอบความสะดวกสบายสูงสุด ฐานล้อที่ยาวขึ้นทำให้ห้องโดยสารกว้างขวาง โดยเฉพาะที่นั่งแถวสองที่สามารถปรับเพิ่มพื้นที่วางขาได้มากถึง 1,049 มิลลิเมตร และยังคงเป็นแบรนด์แรกที่นำเสนอฟังก์ชันนี้ในกลุ่ม SUV ความจุห้องเก็บสัมภาระที่สูงถึง 855 ลิตร และสามารถเพิ่มได้ถึง 2,055 ลิตรเมื่อพับเบาะนั่งแถวสองและสามลง ระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ระบบความปลอดภัยรถยนต์ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ใส่ใจ เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างมั่นใจ
ปลดปล่อยสมรรถนะ: อาณาจักร Mercedes-AMG ที่ไม่เคยหลับใหล
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและสมรรถนะที่เหนือกว่า แบรนด์ Mercedes-AMG ยังคงเป็นนิยามของ “Driving Performance” ที่แท้จริง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ AMG อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้คลั่งไคล้รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ต หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการนำเสนอรถยนต์ในตระกูล 53 และ 63 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé และ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ ซึ่งเปิดตัวในช่วงปลายปี 2019 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ร้อนแรงในตลาด SUV Coupe สมรรถนะสูงจนถึงปี 2025 โดยเฉพาะ GLC 63 S ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ทวินเทอร์โบแบบ “Hot inside V” มอบพละกำลังมหาศาล และ GLC 43 ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 Biturbo ที่ได้รับการปรับจูนใหม่ เพื่อเพิ่มพละกำลังและแรงบิด การออกแบบภายนอกด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง และล้ออัลลอยน้ำหนักเบาจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว พร้อมด้วยดิฟฟิวเซอร์และปีกหลังสไตล์ AMG ทำให้รถเหล่านี้มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและเร้าใจทุกสายตา ภายในห้องโดยสารยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ AMG ด้วยเบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มด้วยหนัง nappa พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel และแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ที่แสดงผลในโหมดสไตล์ AMG โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลากหลาย รวมถึงโหมด “RACE” ที่จะปลุกเร้าอารมณ์ในสนามแข่ง ทำให้ AMG GLC Coupe เป็น รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการขับขี่แบบสปอร์ต
ในปี 2025 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ AMG ด้วยการลงทุนใน AMG Brand Center แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเพียง 11 แห่งทั่วโลก ศูนย์แห่งนี้เป็นศูนย์ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับรถยนต์แบรนด์ Mercedes-AMG โดยเฉพาะ มีความทันสมัยและครบวงจรที่สุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่สาวก AMG และยกระดับมาตรฐานบริการสำหรับ รถสปอร์ต ระดับพรีเมียม
ยุคแห่งการขับเคลื่อนไฟฟ้า: การเติบโตของ EQ และอนาคตที่ยั่งยืน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ EQ แผนการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2019 ที่เน้นการสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรได้ส่งผลให้ในปี 2025 นี้ แบรนด์ EQ เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ๆ การให้บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการเดินสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
Mercedes-Benz E 300 e ซึ่งเป็นหนึ่งใน รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2019 ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บุกเบิกและเป็นแกนหลักในกลุ่ม EQ Power ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ E 300 e มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ความจุ 13.5 kWh ที่เพิ่มขึ้นถึง 110% จากรุ่นก่อนหน้า ทำให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลขึ้น และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมในโหมดไฮบริด ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ให้ System Output รวมสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร ซึ่งถือเป็น รถยนต์ไฟฟ้า ที่ผสมผสานพละกำลังและความประหยัดได้อย่างลงตัว ยิ่งไปกว่านั้น E 300 e ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัย เช่น ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE®, ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP®, และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Parking Pilot พร้อมบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อกับรถ
ในปี 2025 นี้ แบรนด์ EQ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ขยายพอร์ตโฟลิโออย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น EQ Power (ปลั๊กอินไฮบริด), EQ Power+ (ในกลุ่ม Mercedes-AMG) และกลุ่มรถยนต์ Battery Electric Vehicles (BEV) อย่าง EQC, EQB, EQE, EQS และล่าสุดกับ EQE SUV และ EQS SUV ที่นำเสนอทางเลือกที่หลากหลายแก่ผู้บริโภคที่มองหา รถยนต์ไฟฟ้า ที่แท้จริง เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงมุ่งมั่นขยายเครือข่าย สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับเครือโรงแรมชั้นนำและพันธมิตรอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบันมีจุดชาร์จมากกว่า 200 แห่ง และมีแผนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับความสะดวกสบายสูงสุด นอกจากนี้ การลงทุนในการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศไทย ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า: บริการเหนือระดับและการเชื่อมโยงกับแบรนด์
ความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย ไม่ได้มาจากการนำเสนอรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นในการมอบ “Best Customer Experience” หรือประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุกมิติ ในปี 2025 นี้ เครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ครอบคลุมทั่วประเทศรวมกว่า 36 แห่ง มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่เป็นเลิศไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการก็เป็นสิ่งสำคัญ คลังอะไหล่แห่งใหม่ (Parts Distribution Center) บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ที่เปิดดำเนินการในช่วงต้นปี 2019 ได้กลายเป็นศูนย์กลางการจัดการอะไหล่ที่ทันสมัยที่สุด ด้วยระบบเทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์และจัดเก็บอะไหล่ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ทำให้การกระจายอะไหล่ไปยังผู้จำหน่ายเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดระยะเวลาการซ่อมบำรุงและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ต้องการการดูแลรถยนต์แบบครบวงจร
ในด้านการพัฒนาบุคลากร เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพช่างเทคนิคผ่านโครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ซึ่งเป็นการสนับสนุนนักเรียนอาชีวะให้ได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล และมีโอกาสได้เข้าทำงานกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ การลงทุนในบุคลากรนี้เป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการจากช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพสูงสุด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงสานต่อกลยุทธ์ “She’s Mercedes” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่สร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มสุภาพสตรีผ่านกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องทั้ง Facebook และ Instagram เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่และสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ในวงกว้าง บริการ “Mercedes me connect” ที่ช่วยเชื่อมโยงลูกค้า รถยนต์ และผู้จำหน่ายเข้าไว้ด้วยกันอย่างง่ายดาย ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการมอบความสะดวกสบายและประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเปิดระบบปรับอากาศผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือการรับรายงานสถานะรถยนต์แบบเรียลไทม์
ในปี 2025 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำแห่งนวัตกรรมยานยนต์หรูในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งกลุ่ม SUV ที่ทรงพลัง กลุ่มรถยนต์ AMG สมรรถนะสูง และกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า EQ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตของยานยนต์ในประเทศไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด.

