ในภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา นวัตกรรม และสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบได้ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แบรนด์ดาวสามแฉกได้สร้างประวัติศาสตร์และกำหนดมาตรฐานใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย การออกแบบที่ประณีตงดงาม หรือความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย ในวันนี้ปี 2025 เราจะพาคุณย้อนรอยความสำเร็จ สำรวจทิศทางปัจจุบัน และมองไปข้างหน้าถึงอนาคตที่เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังรังสรรค์ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย ผู้ซึ่งแสวงหารถหรูที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสำเร็จของตน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นผู้สร้างเทรนด์และผู้นำทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ ทุกย่างก้าวของแบรนด์ล้วนเต็มไปด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ตั้งแต่การบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ด้วยรถยนต์ SUV ทรงคูเป้ ไปจนถึงการเร่งเครื่องเต็มสูบในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ การเดินทางของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องราวของการครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมอย่างยาวนาน ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าชาวไทย ผนวกกับกลยุทธ์ที่เฉียบคมและการลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ เครือข่ายการขายและบริการ หรือการสร้างประสบการณ์ลูกค้าอันเป็นเลิศ แบรนด์นี้จึงยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการยานยนต์ที่มาพร้อมคุณค่าและนวัตกรรมที่แท้จริง
มรดกแห่งการออกแบบและนวัตกรรม: เมื่อศิลปะมาบรรจบกับวิศวกรรมยานยนต์
ย้อนกลับไปในปี 2020 โลกได้ประจักษ์ถึงการผสานรวมกันอย่างลงตัวระหว่างศิลปะ แฟชั่น และยานยนต์ในโปรเจกต์ “Geländewagen” ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์จับมือกับ Virgil Abloh อดีต CEO ของ Off-White และ Artistic Director ของ Louis Vuitton ร่วมกับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่ายดีไซน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การออกแบบรถยนต์ แต่เป็นการสร้างสรรค์ “ผลงานศิลปะในรูปแบบรถยนต์” ที่ท้าทายกรอบเดิมๆ ของ G-Class ซึ่งเป็นรถลุย 4×4 ที่มีชื่อเสียง ให้กลายเป็นรถแข่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความเร็วและความโดดเด่น การร่วมมือครั้งนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการดีไซน์ยานยนต์ และตอกย้ำภาพลักษณ์ของ G-Class ในฐานะไอคอนทางวัฒนธรรมที่ไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่เป็นผืนผ้าใบแห่งความคิดสร้างสรรค์
จากมุมมองของปี 2025 โปรเจกต์ Geländewagen ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการทดลองและก้าวข้ามขีดจำกัด การตีความ G-Class ใหม่ให้มีความกว้างขึ้น เตี้ยลง พร้อมล้อและยางขนาดโอเวอร์ไซส์ พวงมาลัยจากรถ Formula 1 และเบาะนั่งจากรถ DTM Car รวมถึงการใช้สีแดงสดสำหรับชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ล้วนเป็นรายละเอียดที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันการใช้งานขั้นสูงกับการแสดงออกทางศิลปะอย่างไม่มีที่ติ ผลงานชิ้นเอกนี้ไม่เพียงแต่ถูกประมูลไปเพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังได้ปลูกฝังแนวคิดที่ว่ารถยนต์สามารถเป็นมากกว่าแค่เครื่องจักร เป็นสัญลักษณ์ของสถานะรสนิยม และการแสดงออกทางศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ การร่วมมือดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดค้นดีไซน์ใหม่ๆ และการทำงานร่วมกับศิลปินในวงการยานยนต์หรูมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบัน การออกแบบรถยนต์พรีเมียมหลายรุ่นก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการผสานรวมศิลปะเข้ากับยานยนต์ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สัมผัสถึงประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับที่มาพร้อมความงามอันเป็นเอกลักษณ์
การกำหนดนิยามใหม่ของเซกเมนต์: จากการแข่งขันสู่ความเป็นผู้นำใน SUV Coupe
การแข่งขันในตลาดรถยนต์ SUV Coupe ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความคล่องตัวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้อนไปเมื่อปี 2020 การเปิดตัว All-new Mercedes-Benz GLE Coupe ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการท้าทายคู่แข่ง และชิงพื้นที่ในเซกเมนต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หากมองจากมุมของปี 2025 เราจะเห็นว่า GLE Coupe ได้เติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นโมเดลที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในตลาด รถรุ่นนี้ผสมผสานความสปอร์ตของรถคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งและความอเนกประสงค์ของรถ SUV ได้อย่างลงตัว สะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบ “Sensual Purity” ที่เน้นความหรูหราและสง่างามเหนือกาลเวลา
ในเวลานั้น GLE Coupe ได้รับการออกแบบให้สปอร์ตกว่า GLE รุ่นปกติ ด้วยแนวหลังคาลาดเอียงอันเป็นเอกลักษณ์ ภายในห้องโดยสารที่เคยถูกเปรียบกับการนั่งใน “ห้องบัญชาการ” ด้วยแผงมาตรวัดแบบ Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่สองจอ 12.3 นิ้ว และระบบ MBUX เวอร์ชั่นล่าสุดที่ฉลาดล้ำ สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติได้ กลายเป็นมาตรฐานของความหรูหราและเทคโนโลยีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงพัฒนาต่อไปถึงปัจจุบัน ในปี 2025 ระบบ MBUX ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อ และการควบคุมที่ง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัสหรือผ่านคำสั่งเสียงที่ซับซ้อนขึ้น
สำหรับขุมพลัง ถึงแม้รุ่นที่เปิดตัวในยุโรปช่วงแรกจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ในตลาดโลกและโดยเฉพาะในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ปรับกลยุทธ์ โดยเน้นไปที่เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบรับกับทิศทางของตลาดและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ด้วยการขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC และระบบช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC (ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี E-ACTIVE BODY CONTROL ในรุ่นท็อป) GLE Coupe ยังคงมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัวบนถนนในเมือง หรือความมั่นคงบนเส้นทางที่ท้าทาย ระบบความปลอดภัยก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก Active Braking Assist สู่ชุดระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะที่ครอบคลุม (Intelligent Drive) ทำให้การขับขี่ในปี 2025 ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม GLE Coupe จึงไม่เพียงเป็นเพียงรถยนต์ในเซกเมนต์หนึ่ง แต่เป็นภาพสะท้อนของการปรับตัวและวิวัฒนาการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านดีไซน์ สมรรถนะ และความยั่งยืนในยุคปัจจุบัน
ขับเคลื่อนสู่อนาคต: แบรนด์ EQ และก้าวกระโดดสู่ยุคแห่งรถยนต์ไฟฟ้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการผลักดันแบรนด์ EQ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว หากย้อนกลับไปในปี 2019 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศแผนการสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม ตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จ ไปจนถึงการลงทุนในสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งในวันนี้ปี 2025 เราได้เห็นผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ในปัจจุบัน แบรนด์ EQ ได้กลายเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนยอดขายและภาพลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ทั้ง EQ Power (ปลั๊กอินไฮบริด), EQ Power+ (สำหรับ AMG) และ EQ (Battery Electric Vehicles หรือ BEV) ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่รถยนต์ซีดานหรู SUV อเนกประสงค์ ไปจนถึงรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง AMG ที่มาพร้อมเทคโนโลยี EQ Boost ที่เพิ่มพลังขับเคลื่อนได้อย่างน่าประทับใจ การลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศตั้งแต่ปี 2019 ได้เพิ่มศักยภาพการผลิตและทำให้รถยนต์ไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยลดต้นทุนและสร้างความมั่นใจในด้านการบำรุงรักษาในระยะยาว
การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นผู้นำในตลาด EV ในประเทศไทย จากเดิมที่มีจุดชาร์จกว่า 200 แห่งในปี 2019 ในปี 2025 นี้ เครือข่ายได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง โดยมีจุดชาร์จมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ ทั้งในศูนย์บริการ ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมพันธมิตรชั้นนำ ทำให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถเดินทางได้อย่างไร้กังวล เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นผู้บุกเบิกในการนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้น และเวลาในการชาร์จที่สั้นลง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลัง
สมรรถนะที่เหนือชั้น: เสน่ห์อันไม่เสื่อมคลายของ Mercedes-AMG
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและสมรรถนะอันเร้าใจ ชื่อของ Mercedes-AMG ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2018-2019 แบรนด์ Mercedes-AMG ได้สร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศไทย ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 309% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์สมรรถนะสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ AMG ด้วยการเปิดตัวรถยนต์หลากหลายรุ่น ทั้งรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศ พร้อมกับการจัดกิจกรรม “Mercedes-AMG Driving Experience” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าและสื่อมวลชนได้สัมผัสขีดสุดของสมรรถนะอย่างใกล้ชิด และในปี 2025 นี้ Mercedes-AMG ยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงอย่างต่อเนื่อง
การเปิดตัว “AMG Brand Center” แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเพียง 11 แห่งทั่วโลก ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ในวันนี้ศูนย์ AMG Brand Center ได้กลายเป็นหมุดหมายสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง พร้อมบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การขาย การบำรุงรักษา ไปจนถึงการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ รถยนต์ในตระกูล AMG 53 Series อย่าง CLS 53 4MATIC+ และ E 53 4MATIC+ Coupé ที่เคยเปิดตัวในปี 2019 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในปัจจุบันรุ่นต่อยอดของตระกูล 53 ก็ยังคงเป็นที่นิยม ด้วยการผสมผสานเครื่องยนต์ที่ทรงพลังเข้ากับเทคโนโลยี EQ Boost ทำให้ได้พละกำลังที่มหาศาล พร้อมอัตราเร่งที่รวดเร็ว และเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของ AMG
นอกจากนี้ รถยนต์ SUV Coupe สมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé และ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé ก็ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งความสปอร์ต ประโยชน์ใช้สอย และความแรงเหนือระดับ ด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ใน 63 S และ V6 เทอร์โบคู่ใน 43 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี “Hot inside V” และระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ที่ตอบสนองฉับไว ทำให้การขับขี่ AMG เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในทุกเส้นทาง ระบบช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL+ air suspension และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC พร้อม AMG DYNAMIC SELECT ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้หลากหลาย ตั้งแต่ Comfort ไปจนถึง RACE ล้วนเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Mercedes-AMG เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ แต่เป็นเครื่องจักรที่พร้อมจะปลดปล่อยอะดรีนาลีนในทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง
ประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นเลิศ: การบริการ เครือข่าย และการเชื่อมต่อดิจิทัล
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถหรูของประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปีติดต่อกัน ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากการขายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางกลยุทธ์ที่เน้น “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” ซึ่งครอบคลุมทุกมิติของการเป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปี 2025 นี้ บริการหลังการขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับการยกระดับไปอีกขั้น เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปในปี 2019 การเปิดตัว “คลังอะไหล่แห่งใหม่” (Parts Distribution Center) บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ได้เป็นรากฐานสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและกระจายอะไหล่ ทำให้ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ในปี 2025 คลังอะไหล่นี้ได้ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบ AI และ Machine Learning ที่ช่วยในการพยากรณ์ความต้องการอะไหล่ ทำให้มั่นใจได้ว่าอะไหล่แท้จะพร้อมให้บริการเสมอ นอกจากนี้ การขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการจาก 32 แห่งในปี 2019 ไปสู่ 36 แห่งทั่วประเทศ และการเพิ่มศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกหลายแห่ง ได้ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการคุณภาพสูงได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศไทย
นวัตกรรมด้านดิจิทัลอย่าง ‘Mercedes me connect’ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงลูกค้า รถยนต์ และศูนย์บริการเข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ในปี 2025 ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Mercedes-Benz emergency call system, Tele diagnostics, Remote Retrieval of Vehicle Status, Navigation System พร้อม Live Traffic Information และการตั้งค่ารถยนต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ขับขี่ มอบความอุ่นใจและความสะดวกสบายในการดูแลรักษารถยนต์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะช่างเทคนิคภายใต้โครงการ German-Thai Dual Excellence Education (GTDEE) ซึ่งได้ผลิตบุคลากรคุณภาพออกมารองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าการบริการหลังการขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงรักษามาตรฐานระดับโลกไว้ได้อย่างยั่งยืน
สรุป: อนาคตที่สดใสของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย
เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์และพัฒนา การมองย้อนกลับไปยังความสำเร็จในอดีต ตั้งแต่โปรเจกต์ Geländewagen อันเป็นตำนาน การบุกเบิกตลาด SUV Coupe ด้วย GLE Coupe การขับเคลื่อนสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ EQ การสร้างความเร้าใจด้วยสมรรถนะของ AMG ไปจนถึงการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านเครือข่ายบริการและเทคโนโลยีดิจิทัล ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของแบรนด์
ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำที่พร้อมนำเสนอรถยนต์ที่เหนือกว่าความคาดหวัง ทั้งในด้านนวัตกรรม การออกแบบ ความปลอดภัย และความยั่งยืน แบรนด์ดาวสามแฉกไม่เพียงขายรถยนต์ แต่ยังส่งมอบไลฟ์สไตล์ ความหลงใหล และประสบการณ์ขับขี่ที่แตกต่าง ที่สุดแห่งความหรูหราพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกยุคสมัย เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงเป็นมากกว่าพาหนะ แต่เป็นคู่คิดในการเดินทางสู่ความสำเร็จและอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนในประเทศไทย

