ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์หรูที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทที่โดดเด่นของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งผู้นำมาอย่างยาวนาน แต่ยังคงผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรมและประสบการณ์ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง การเดินทางของแบรนด์นี้ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2010 มาจนถึงปัจจุบันในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคม วิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล และความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างแท้จริง
จากแรงบันดาลใจสู่ไอคอน: โปรเจกต์ Geländewagen และมรดกแห่งการสร้างสรรค์
ย้อนกลับไปในปี 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นได้ตื่นตะลึงกับโปรเจกต์ “Geländewagen” ที่เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Off-White และ Louis Vuitton ชายผู้มีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Mercedes-Benz ความร่วมมือนี้ไม่ใช่แค่การสร้างรถยนต์ แต่เป็นการสร้างสรรค์ “ผลงานศิลปะในรูปแบบรถยนต์” ที่ท้าทายกรอบเดิมๆ ของ G-Class ให้ก้าวข้ามจากรถยนต์ขับเคลื่อน 4×4 ที่แข็งแกร่งสู่ยานยนต์สไตล์รถแข่งสุดเร้าใจ
รถคันดังกล่าวถูกประมูลผ่าน Sotheby’s เพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับโลก ซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของนักสะสมและผู้ที่หลงใหลในศิลปะและยานยนต์อย่างแท้จริง การปรับแต่งที่โดดเด่น ทั้งการขยายความกว้างของตัวรถ การลดระดับช่วงล่างให้เตี้ยลง ล้อแม็กซ์และยางที่ออกแบบมาอย่างโอเวอร์ไซส์ พวงมาลัยที่มาจาก Project 1 รถ Formula 1 และเบาะนั่งจากรถ DTM Car ของ Mercedes-Benz ล้วนสะท้อนถึงการผสมผสาน DNA ของรถแข่งเข้ากับความหรูหราของ G-Class ได้อย่างลงตัว ชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู ยิ่งเน้นย้ำถึงจิตวิญญาณแห่งสนามแข่ง การสร้างสรรค์นี้ไม่เพียงแค่ยกระดับภาพลักษณ์ของ G-Class แต่ยังตอกย้ำถึงความสามารถของ Mercedes-Benz ในการร่วมมือกับศิลปินระดับโลก เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้แบรนด์ยังคงเป็นที่จับตาในวงการ นวัตกรรมยานยนต์ และการออกแบบชั้นสูง
สมรภูมิ SUV Coupe: การแข่งขันที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน Mercedes-Benz ยังคงทำตลาดอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในเซกเมนต์ SUV Coupe ที่มีการแข่งขันสูง ย้อนกลับไปเมื่อ BMW X6 เจเนอเรชั่นแรก (E71) บุกเบิกตลาดนี้และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้ Mercedes-Benz ต้องเร่งปรับตัวเพื่อตามให้ทัน การเปิดตัว Mercedes-Benz GLE Coupe ในเวลาต่อมา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ และนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา การแข่งขันในเซกเมนต์นี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
สำหรับ All-new Mercedes-Benz GLE Coupe ที่เปิดตัวในปี 2020 ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตยิ่งขึ้น หลังคาลาดเอียงแบบคูเป้ที่โดดเด่นจากรุ่น GLE ปกติ ไฟท้ายที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ดูหรูหราและมีความเป็นรถคูเป้มากขึ้น การออกแบบภายในของ All-new GLE Coupe 2020 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก GLE รุ่นปกติ แต่แตกต่างจากโฉมก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ได้สร้างบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับ “ห้องบัญชาการ” ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน คอนโซลกลางที่หวือหวา และระบบผู้ช่วย MBUX เวอร์ชันล่าสุดที่สามารถเข้าใจคำสั่งภาษาพูดทั่วไปได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับ รถยนต์หรู ในยุคปัจจุบัน
ในส่วนของขุมพลัง ตลาดยุโรปในปี 2020 ได้รับเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 2 รุ่น ได้แก่ GLE Coupe 350 d 4MATIC (272 แรงม้า) และ GLE Coupe 400 d 4MATIC (330 แรงม้า) ที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงระบบกันสะเทือนสปริงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวถัง แม้จะเป็นออปชันเสริม แต่ก็เป็น เทคโนโลยียานยนต์ ที่สำคัญสำหรับการขับขี่ระดับพรีเมียม ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะต่างๆ ก็ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้รถยนต์ในกลุ่ม SUV พรีเมียม นี้ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มองหาความสมบูรณ์แบบทั้งสมรรถนะและความปลอดภัย จนถึงปี 2025 นี้ รุ่นที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดจากพื้นฐานอันแข็งแกร่งนี้ยังคงครองใจผู้บริโภคในตลาดไทย
Mercedes-Benz ประเทศไทย: ผู้นำที่ยั่งยืนบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ
ความสำเร็จของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มาจากวิสัยทัศน์และการดำเนินงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมาโดยตลอด สถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คันในปี 2018 ซึ่งทำให้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด รถยนต์หรู เมืองไทยถึง 18 ปีติดต่อกัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ และในปี 2019 บริษัทฯ ได้ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้วยการประกาศแผนนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่กว่า 20 รุ่น ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ พร้อมกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้แบรนด์ยังคงเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 2025
ภายใต้การบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมแบรนด์หลักอย่าง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และแบรนด์เทคโนโลยี EQ ซึ่งเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ รถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2025
เจาะลึกนวัตกรรม: กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อนาคต
การเปิดตัวกลุ่มรถยนต์ Mercedes-AMG 53 รุ่น CLS 53 4MATIC+ (ประกอบในประเทศ) และ E 53 4MATIC+ Coupé (นำเข้า) ในปี 2019 เป็นตัวอย่างของการนำเสนอ AMG ประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมเทคโนโลยี EQ Boost ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเพิ่มพละกำลังและความประหยัดในรุ่นปัจจุบัน นอกจากนี้ การเปิด “คลังอะไหล่แห่งใหม่” ที่บางนา-ตราด กม. 19 ในปี 2019 พร้อมระบบการจัดการที่ทันสมัย และการแต่งตั้งผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้าน ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน
มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ อดีตประธานบริหาร Mercedes-Benz ประเทศไทย เคยกล่าวไว้ว่า ปี 2018 เป็นปีที่น่าจดจำของ Mercedes-Benz ทั่วโลก โดยครองตำแหน่งแบรนด์รถหรูระดับพรีเมียมที่มียอดขายมากที่สุดเป็นปีที่สามติดต่อกัน ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,310,185 คัน ซึ่งเป็นสถิติการเติบโตต่อเนื่องยาวนานถึงแปดปี โดยมีรถยนต์ตระกูล SUV เป็นหัวใจหลักของความสำเร็จ ซึ่งทิศทางนี้ยังคงเป็นจริงในปี 2025 ที่ SUV พรีเมียม ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะตลาดอย่างประเทศไทย ญี่ปุ่น อินเดีย มาเลเซีย และเวียดนาม เป็นตลาดขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์กว่า 943,473 คันในปี 2018 และอัตราการเติบโต 7.8% สะท้อนถึงศักยภาพของตลาดนี้ ซึ่ง Mercedes-Benz ประเทศไทย สามารถสร้างยอดจำหน่ายที่ทำลายสถิติได้ถึง 15,785 คัน เติบโตขึ้น 9% ในปีนั้น และยังคงรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้ถึง 18 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับสถานะของแบรนด์ใน ตลาดรถหรูไทย ในปี 2025
แผนงานในปี 2019 ที่มุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มากกว่า 20 รุ่น พร้อมกับการสร้างระบบนิเวศ รถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ การบริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จ และการเดินสายการผลิต แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในปี 2025
การบุกตลาด SUV และ Plug-in Hybrid อย่างต่อเนื่อง
ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 36 ช่วงปลายปี 2019 Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้เปิดตัว 5 ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการรุกตลาด SUV พรีเมียม และ ปลั๊กอินไฮบริด อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดในปี 2025
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: ยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียมแบบ 7 ที่นั่งรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ SUV ด้วยขุมพลังดีเซล ความหรูหราสง่างาม และความสะดวกสบายเทียบเท่า S-Class ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อม ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความเข้มและลำแสงได้อิสระ ล้ออัลลอย AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ภายในห้องโดยสารกว้างขวางรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ท่าน ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น เบาะที่นั่งแถว 2 และ 3 สามารถพับเก็บหรือปรับแต่งได้อย่างอิสระเพื่อเพิ่มความจุสัมภาระสูงสุดถึง 2,400 ลิตร ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital Widescreen Cockpit 2 จอต่อเนื่องกัน ระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” และ Mercedes me connect ที่มาพร้อมฟีเจอร์เด่น เช่น ระบบช่วยเหลือฉุกเฉินและระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ Tele diagnostics ด้วยราคา 8,859,000 บาท ในปี 2019 ปัจจุบัน GLS ยังคงเป็นมาตรฐานของ SUV พรีเมียม ที่ผสานความหรูหราเข้ากับประสิทธิภาพได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ: การผสมผสานระหว่างคุณสมบัติอัจฉริยะและการออกแบบที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณ โดดเด่นด้วยกระจังหน้า 6 เหลี่ยม ไฟหน้า MULTIBEAM LED และ AMG Bodystyling รอบคัน ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโครเมียมและหนัง ARTICO พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ เบาะนั่งแถว 2 ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา ความจุห้องเก็บสัมภาระสูงถึง 2,055 ลิตร เมื่อพับเบาะทั้งหมด ระบบ MBUX พร้อมจอแสดงผล 12.3 นิ้ว 2 จอ และบริการ Mercedes me connect ระบบความปลอดภัยได้รับการพัฒนาอย่างมาก เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ด้วยราคา 5,190,000 บาท ในปี 2019 รุ่น GLE 300 d ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ ประสบการณ์ขับขี่ระดับโลก ที่เหนือระดับ
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: AMG ประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในสไตล์คูเป้บวกกับความแข็งแกร่งแบบ SUV ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วย AMG Bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง ล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว และไฟหน้า MULTIBEAM LED ภายในมีเบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้มหนัง DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่ม AMG steering wheel button แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว 3 โหมดแสดงผล และระบบมัลติมีเดีย MBUX ระบบกันสะเทือน air suspension ทำงานร่วมกับ AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมด RACE สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร ทวินเทอร์โบ ด้วยราคา 10,790,000 บาท ในปี 2019 GLC 63 S ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ เทคโนโลยียานยนต์ และสมรรถนะที่ไม่มีใครเทียบ
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่: อีกหนึ่ง AMG ประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วย AMG Bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grill ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว ภายในมีเบาะ AMG Sport seat หุ้มหนังตัดสลับ DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa ระบบ MBUX พร้อมหน้าจอเรือนไมล์ All Digital Instrument Display ขนาด 10.25 นิ้ว และ AMG Head-up Display ระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo ที่ให้พละกำลังและแรงบิดสูง ด้วยราคา 4,990,000 บาท ในปี 2019 GLC 43 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหา ประสบการณ์ขับขี่ ที่เร้าใจแต่ยังคงความหรูหรา
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ: ยนตรกรรมซาลูน ปลั๊กอินไฮบริด อัจฉริยะที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 13.5 kWh ที่เพิ่มความจุถึง 110% จากรุ่นก่อนหน้า ทำให้สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลขึ้นถึง 60% และประหยัดเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดได้ดียิ่งขึ้น ดีไซน์ภายนอกสง่างามด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือ Nappa พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต พร้อมจอแสดงผล Digital Widescreen Cockpit และระบบ Audio 20 GPS ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบความปลอดภัย PRE-SAFE®, ESP®, ABS และระบบช่วยเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมบริการ Mercedes me connect ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ด้วยราคาเริ่มต้น 3,190,000 บาท ในปี 2019 E 300 e ยังคงเป็นตัวอย่างของการผสาน นวัตกรรมยานยนต์ เข้ากับ ความยั่งยืนยานยนต์ ได้อย่างลงตัวในปัจจุบัน
มองไปข้างหน้า: Mercedes-Benz ในปี 2025
ในปี 2025 Mercedes-Benz ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเน้นย้ำถึง 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่
ความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EQ Brand): แบรนด์ EQ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเสนอ รถยนต์ไฟฟ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่การผลิต แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศ การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จทั่วประเทศ (จาก 200 จุดในปี 2019 สู่เป้าหมายที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นในปี 2025) และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ EQ ที่หลากหลาย ทั้ง EQ Power (ปลั๊กอินไฮบริด), EQ Power+ (ในกลุ่ม AMG) และ EQ (สำหรับ Battery Electric Vehicles หรือ BEV) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อน ความยั่งยืนยานยนต์ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาสนใจ รถยนต์ไฟฟ้า มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (Best Customer Experience): กลยุทธ์ “She’s Mercedes” และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า การสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook และ Instagram ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ใน ตลาดรถหรูไทย นอกจากนี้ การขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายและศูนย์บริการทั่วประเทศ (จาก 32 แห่งในปี 2019 สู่เป้าหมาย 36 แห่งภายในสิ้นปี) รวมถึงการพัฒนาศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้มาตรฐาน ถือเป็นการตอกย้ำความสำคัญของ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีคุณภาพ
นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง: Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้บุกเบิกในด้าน นวัตกรรมยานยนต์ และ เทคโนโลยียานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (Intelligent Safety Systems) ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems) และระบบ MBUX ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบ ประสบการณ์ขับขี่ ที่ราบรื่น ปลอดภัย และเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้ใช้งานในปี 2025
สรุปได้ว่า Mercedes-Benz ประเทศไทย ไม่ได้เพียงแค่ขายรถยนต์ แต่เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นนวัตกรรม การสร้างสรรค์ และการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยังคงเป็นผู้นำและเป็นที่ไว้วางใจในตลาด รถยนต์หรู ของไทยอย่างแท้จริงในปี 2025 และอีกหลายปีข้างหน้า

