ในโลกยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการผสานความหรูหราเข้ากับนวัตกรรมล้ำสมัยและสมรรถนะอันเหนือชั้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์ ผลิตภัณฑ์ และทิศทางของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศไทย ที่ซึ่งแบรนด์ดาวสามแฉกนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง
มรดกแห่งการสร้างสรรค์: Project Geländewagen กับ G-Class x Off-White ที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นต้องจับตามองเมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Off-White รวมถึงหลุยส์ วิตตอง ในโปรเจกต์ “Geländewagen” ซึ่งเป็นการนำรถออฟโรดในตำนานอย่าง G-Class มาตีความใหม่ในรูปแบบของงานศิลปะบนล้อเลื่อน แม้การประมูลเพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับนานาชาติโดย Sotheby’s จะเกิดขึ้นในปี 2020 แต่ผลงานชิ้นนี้ยังคงเป็นบทพิสูจน์ถึงความกล้าหาญทางศิลปะและการทลายกรอบเดิมๆ ของการออกแบบยานยนต์
Project Geländewagen คือ G-Class ที่ถูกเปลี่ยนโฉมให้เป็น “รถแข่ง” ในจินตนาการ ด้วยความกว้างที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตัวรถที่ถูกปรับให้ต่ำลงอย่างมาก ล้อและยางขนาดใหญ่เกินจริงที่ให้ความรู้สึกฉูดฉาดและแตกต่าง พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจากรถ Formula 1 อย่าง Project 1 และเบาะนั่งที่นำมาจากรถ DTM Car ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ องค์ประกอบด้านความปลอดภัยทั้งหมดในห้องโดยสารถูกเน้นด้วยสีแดงสด ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยหรือมือจับประตู สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความสปอร์ตขั้นสุดกับความหรูหราที่แตกต่าง ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์ แต่เป็นชิ้นงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่การออกแบบยานยนต์สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปสู่การเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงการต่างๆ และในปี 2025 มรดกทางความคิดสร้างสรรค์นี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดทิศทางการออกแบบและการร่วมมือกันข้ามอุตสาหกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์
การแข่งขันและการปรับตัว: จาก GLE Coupe สู่ผู้นำในตลาด SUV หรู
การแข่งขันในตลาด SUV ทรงคูเป้ เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการช่วงชิงความเป็นผู้นำ การเปิดตัว All-new Mercedes-Benz GLE Coupe ในช่วงปลายปี 2019 และต้นปี 2020 ถือเป็นการตอบโต้ที่เด็ดขาดต่อคู่แข่งอย่าง BMW X6 ซึ่งได้บุกเบิกตลาดนี้ไปก่อนหน้านานแล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เรียนรู้จากความสำเร็จของคู่แข่งและนำเสนอ GLE Coupe ที่ไม่เพียงแต่ตามทัน แต่ยังก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตยิ่งขึ้น เส้นสายหลังคาที่ลาดเอียงสวยงาม ผสมผสานกับความหรูหราและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า
GLE Coupe ในยุคนั้น และยังคงเป็นมาตรฐานในปี 2025 ได้รับการออกแบบให้สปอร์ตกว่ารุ่น GLE ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแนวหลังคาที่ลาดลงอย่างมีสไตล์ ส่วนหน้าของรถยังคงรักษาความสง่างามตามแบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ขณะที่มุมมองด้านหลังถูกปรับปรุงเล็กน้อย โดยเฉพาะไฟท้ายที่ดูเพรียวบางและทันสมัยขึ้น ให้ความรู้สึกเป็นรถคูเป้ที่หรูหรายิ่งกว่าเดิม
ภายในห้องโดยสารของ GLE Coupe เป็นการปฏิวัติการออกแบบอย่างแท้จริง ต่างจากคู่แข่งที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ ห้องโดยสารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ถูกสร้างสรรค์ให้มีความรู้สึกเหมือน “ห้องบัญชาการ” หรือ “ยานอวกาศ” ด้วยการจัดวางที่โปร่งโล่งและล้ำสมัย แผงมาตรวัดแบบ Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน กลายเป็นศูนย์กลางของการแสดงข้อมูลและการควบคุมรถ คอนโซลกลางที่มีดีไซน์หวือหวา พร้อมเส้นไฟ Ambient Light กว่าครึ่งร้อยเฉดสีที่เลือกปรับได้ตามอารมณ์ และระบบผู้ช่วย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เวอร์ชั่นล่าสุดที่ชาญฉลาด สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมโยงผู้ขับขี่กับรถยนต์ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง วัสดุตกแต่งภายในที่หรูหรา เช่น หนังสังเคราะห์ ARTICO และหนัง Nappa แท้ในพวงมาลัย เป็นมาตรฐานที่สะท้อนถึงงานฝีมือระดับพรีเมียมของแบรนด์
ในด้านสมรรถนะ GLE Coupe ได้นำเสนอเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบที่ทรงพลังในตลาดแรกเริ่ม เช่นรุ่น 350 d 4MATIC และ 400 d 4MATIC ซึ่งให้กำลังสูงสุดและแรงบิดมหาศาล ผนวกกับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่สามารถกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้ 0-100% ตามสถานการณ์ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดอาการหน้าดื้อโค้ง-ท้ายปัดได้เป็นอย่างดี ฐานล้อที่สั้นกว่า GLE ปกติถึง 60 มม. ยังช่วยให้การบังคับควบคุมว่องไวและคล่องตัวยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ตอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีช่วงล่างอย่างสปริงลม AIRMATIC และระบบ E-ACTIVE BODY CONTROL ที่รักษาเสถียรภาพของตัวถัง ลดอาการโคลงและหน้าทิ่ม-ท้ายยก เป็นออปชันที่เสริมความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ให้ GLE Coupe เสมือนลอยอยู่เหนือพื้นถนน ในด้านความปลอดภัย ระบบ Active Braking Assist ถือเป็นมาตรฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชน พร้อมด้วยชุดออปชันเสริมอย่าง Active Distance Assist DISTRONIC, Active Stop-and-Go Assist และ Active Steering Assist ที่ยกระดับการขับขี่ให้ใกล้เคียงกับระบบขับขี่อัตโนมัติกึ่งอิสระ ซึ่งในปี 2025 ฟีเจอร์เหล่านี้ได้พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับในรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น
กลยุทธ์ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย: มุ่งหน้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าและประสบการณ์ลูกค้าที่ไร้รอยต่อ
การดำเนินงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจถึงการครองความเป็นผู้นำในตลาดรถหรูได้อย่างยั่งยืน ด้วยสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คันในปี 2561 และการรักษาตำแหน่งแชมป์ตลาดรถหรูมา 18 ปีติดต่อกัน (ข้อมูล ณ ขณะนั้น) แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจตลาดและความมุ่งมั่นในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าชาวไทย
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังคงสานต่อกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี, เมอร์เซเดส-มายบัค และแบรนด์เทคโนโลยี EQ การรุกตลาดด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ภายใต้แบรนด์ EQ ถือเป็นหัวใจสำคัญของทิศทางธุรกิจในอนาคต
หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญคือการสร้าง “ระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ๆ การให้บริการหลังการขายที่รองรับเทคโนโลยี EV การขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการลงทุนในสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด การจับมือกับเครือโรงแรมชั้นนำเพื่อขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการจัดงาน EQ Tech Day เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านบริการหลังการขายและการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการก็เป็นสิ่งสำคัญ เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางแผนเพิ่มผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงการเปิด “คลังอะไหล่แห่งใหม่” ที่ทันสมัยบนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ซึ่งใช้เทคโนโลยีการจัดการที่ล้ำสมัย เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายอะไหล่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไม่ขาดสาย
การพัฒนาบุคลากรก็เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญ ผ่านโครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ซึ่งเป็นการสนับสนุนนักเรียนอาชีวะให้มีทักษะความเชี่ยวชาญด้านช่างเทคนิคยานยนต์ และเข้าทำงานกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการหลังจบหลักสูตร ช่วยสร้างบุคลากรคุณภาพเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม
ในด้านประสบการณ์ลูกค้า “Best Customer Experience” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยกิจกรรมไลฟ์สไตล์ภายใต้แพลตฟอร์มระดับโลก “She’s Mercedes” ที่มุ่งสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มสตรี และการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของแบรนด์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
เปิดตัวยนตรกรรมแห่งอนาคต: SUV, AMG และ EQ Power ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
ในช่วงปลายปี 2019 และต้นปี 2020 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่หลายรุ่น ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และความมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างครอบคลุม และยังคงเป็นรุ่นที่มีความสำคัญต่อพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ในปี 2025
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: S-Class แห่งโลก SUV
ในฐานะ “Large Full-Size SUV” แบบ 7 ที่นั่ง GLS 350 d 4MATIC AMG Premium คือนิยามของความหรูหราสง่างามและสมรรถนะที่เหนือชั้น เปรียบเสมือน S-Class แห่งโลก SUV ด้วยขุมพลังดีเซลที่ทรงพลัง พร้อมเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่ประกอบด้วยหลอดไฟ LED 112 หลอดต่อโคม สามารถปรับความเข้มและลำแสงได้อย่างอิสระ ให้ทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยมยามค่ำคืน
ห้องโดยสารภายในรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มม. เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน EASY-ENTRY เพื่อความสะดวกสบายในการเข้า-ออก การปรับพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุดถึง 2,400 ลิตร เมื่อพับเบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 ลง แสดงถึงความอเนกประสงค์ที่เหนือกว่า ภายในยังเสริมด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศ 64 สี และระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC ที่มอบประสบการณ์การเดินทางระดับเฟิร์สคลาส
ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital Widescreen Cockpit 2 จอต่อเนื่องกัน ระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” และ Head-up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลและควบคุมรถได้อย่างง่ายดาย ระบบนำทาง Hard Disc Navigation และระบบเสียง Burmester® รอบทิศทาง ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น บริการ Mercedes me connect พร้อมฟีเจอร์เด่นๆ เช่น ระบบโทรฉุกเฉิน Mercedes-Benz emergency call system, Tele diagnostics และ Vehicle Set-up ผ่านมือถือ เพิ่มความอุ่นใจและความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ด้วยราคา 8,859,000 บาท (ณ ขณะเปิดตัว) GLS ถือเป็นการลงทุนในความหรูหราที่ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หรือผู้ที่ต้องการความเหนือระดับอย่างแท้จริง
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ: สมดุลแห่งความสปอร์ตและหรูหรา
GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความสวยงามเข้าด้วยกัน ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ตัวรถมีสัดส่วนฐานล้อยาว พร้อมยางขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการใช้งานในทุกสภาพถนน กระจังหน้า 6 เหลี่ยมยกสูง ไฟหน้า MULTIBEAM LED และ AMG Bodystyling รอบคัน เสริมความดุดันและโดดเด่น
ภายในห้องโดยสารผสานความหรูหราแบบเมอร์เซเดส-เบนซ์เข้ากับความแข็งแกร่งของ SUV ด้วยฐานล้อยาวถึง 2,995 มม. (เพิ่มขึ้น 80 มม.) ให้พื้นที่ภายในกว้างขวาง เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa ปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ และเบาะนั่งแถวที่สองที่ปรับองศาและพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า (ฟังก์ชันแรกของโลกในกลุ่ม SUV) เพิ่มพื้นที่วางขาได้มากถึง 69-1,049 มม. ความจุห้องเก็บสัมภาระสูงสุดถึง 2,055 ลิตร และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้าช่วยเพิ่มสุนทรียภาพ
ระบบ MBUX พร้อมจอ Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอ, Head-up Display, ระบบเสียง Burmester® และ Mercedes me connect เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้การเดินทางราบรื่นและเชื่อมต่อได้ตลอดเวลา
ระบบความปลอดภัยได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ พร้อมด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360˚ และ Electronic Traction System 4ETS สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยราคา 5,190,000 บาท (ณ ขณะเปิดตัว) GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหา SUV หรูที่ประกอบในประเทศ พร้อมเทคโนโลยีและความปลอดภัยครบครัน
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: พลังสมรรถนะสูงสุดในร่าง SUV
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและสมรรถนะขั้นสุด Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือคำตอบ ด้วยดีไซน์คูเป้ที่โฉบเฉี่ยวผสานความแข็งแกร่งของ SUV ชุดตกแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง และล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว พร้อมไฟหน้า MULTIBEAM LED และปีก AMG ที่ฝากระโปรงหลัง เสริมลุคสปอร์ตอย่างเต็มตัว
ภายในโดดเด่นด้วยเบาะ AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather, พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้ม DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่มควบคุม AMG Steering Wheel Button แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว (All-digital instrument display) พร้อม 3 โหมดการแสดงผลในสไตล์ AMG และระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอขนาด 12.35 นิ้วและ Touchpad มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
เทคโนโลยีช่วงล่าง air suspension ทำงานร่วมกับ AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ รวมถึงโหมด “RACE” สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง ระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission และเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่แบบ Hot inside V ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า (ณ ขณะเปิดตัว) ทำให้ GLC 63 S เป็น SUV ที่เร็วและทรงพลังอย่างแท้จริง ด้วยราคา 10,790,000 บาท (ณ ขณะเปิดตัว) คือยานยนต์สำหรับผู้ที่ต้องการความสุดยอดในทุกมิติ
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่: สมรรถนะ AMG ที่เข้าถึงได้
GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในตระกูล AMG สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะสูงแต่ยังคงความหรูหราและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน มาพร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตด้วย AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grill, ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG ขนาด 20 นิ้ว
ภายในโดดเด่นด้วยเบาะ AMG Sport seat หุ้มหนังตัดสลับ DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสปอร์ตหุ้มหนัง Nappa พร้อมระบบ MBUX, จอ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และ Head-up Display ระบบเสียง Burmester® และ Mercedes me connect ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิง
เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยครบครัน เช่น AMG DYNAMIC SELECT, Distance Pilot DISTRONIC, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS และโปรแกรมควบคุมการทรงตัว ESP® ระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT TCT 9G และเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo ให้กำลังสูงสุด 390 แรงม้า (ณ ขณะเปิดตัว) ด้วยราคา 4,990,000 บาท (ณ ขณะเปิดตัว) GLC 43 4MATIC Coupé ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำเสนอสมรรถนะแบบ AMG ที่ประกอบในประเทศ ซึ่งทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าชาวไทย
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ: ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดเพื่ออนาคต
E 300 e คือยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะในตระกูล E-Class ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าเต็มตัว โดยมาพร้อมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่มีความจุ 13.5 kWh (เพิ่มขึ้น 110%) ช่วยให้ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นถึง 60% และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดได้อย่างยอดเยี่ยม ชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายใน 5 ชั่วโมงด้วย Wallbox ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
E 300 e มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic โดยแต่ละรุ่นมีดีไซน์ภายนอกที่สง่างามตามคอนเซ็ปต์ Sensual Purity พร้อมกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED ในรุ่น Exclusive และ AMG Dynamic ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือ Nappa (ในรุ่น AMG Dynamic) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส และจอ Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบไฟสร้างบรรยากาศ 64 สี มอบความผ่อนคลายตลอดการเดินทาง
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีครบครัน ไม่ว่าจะเป็น PRE-SAFE® system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัว ESP®, ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE, ระบบรักษาความเร็ว Cruise Control, ATTENTION ASSIST, PARKTRONIC และ Parking Pilot รวมถึงกล้องแสดงภาพด้านหลัง การเชื่อมต่อ Mercedes me connect ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัย
ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,991 ซีซี 211 แรงม้า ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า ทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิด 700 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC E 300 e ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยเพียง 46 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาเริ่มต้น 3,190,000 บาท (ณ ขณะเปิดตัว) E 300 e ถือเป็นทางเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่หรูหรา ประหยัด และล้ำสมัย
บทสรุป: ก้าวต่อไปของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปี 2025
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์หรู ด้วยการผสมผสานมรดกอันยาวนานเข้ากับนวัตกรรมแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะบนล้อเลื่อนอย่าง Project Geländewagen, การช่วงชิงความเป็นผู้นำในตลาด SUV หรูด้วย GLE Coupe, หรือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับยุคยานยนต์ไฟฟ้าด้วยแบรนด์ EQ และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่าง E 300 e
ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งหรู SUV อเนกประสงค์ และยนตรกรรมสมรรถนะสูงจาก AMG พร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน EV และการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

