ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์หรูมายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของแบรนด์ระดับโลกมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำและเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างไม่หยุดยั้งเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ และในปี 2025 นี้ แบรนด์ดาวสามแฉกยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้บุกเบิก ขับเคลื่อนตลาดด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อนาคตได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาท่านเจาะลึกถึงวิสัยทัศน์ นวัตกรรม และความสำเร็จของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในยุคปัจจุบัน
มรดกแห่งการสร้างสรรค์: เมื่อศิลปะมาบรรจบกับวิศวกรรม
ย้อนกลับไปในอดีต เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนท้องถนน หนึ่งในโครงการที่ยังคงถูกกล่าวขานและเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์นี้คือ โปรเจกต์ Geländewagen ซึ่งเป็นการผนึกกำลังระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Off-White และ Louis Vuitton ในขณะนั้น กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์
โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นในปี 2020 และได้สร้างความฮือฮาด้วยการแปลงโฉมรถออฟโรดในตำนานอย่าง G-Class ให้กลายเป็น “Race Car” ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิด การปรับแต่งให้รถดูกว้างขึ้น เตี้ยลง พร้อมล้อและยางขนาดโอเวอร์ไซส์ที่ดูแปลกตา แต่กลับสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจากรถ Formula 1 Project 1 และเบาะนั่งจากรถ DTM ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างสมรรถนะระดับสูงและงานศิลปะชั้นเลิศ ชิ้นส่วนความปลอดภัยภายในห้องโดยสารถูกเน้นด้วยสีแดงสดใส เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่เหนือกว่า ผลงานชิ้นเอกนี้ถูกประมูลไปเพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับโลก ซึ่งตอกย้ำถึงพันธกิจของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ แต่ยังส่งเสริมคุณค่าทางศิลปะและสังคมอีกด้วย แม้จะเป็นโครงการในอดีต แต่ “Geländewagen” ยังคงเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าในการทดลองและผลักดันขีดจำกัดของ การออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มอบให้เสมอมา
การเดินทางของ SUV คูเป้: จากคู่แข่งสู่ผู้นำเทรนด์
ในสมรภูมิของรถยนต์ SUV ทรงคูเป้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE Coupe ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแข่งขันและวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ย้อนกลับไปเมื่อ BMW X6 บุกเบิกตลาดนี้และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เมอร์เซเดส-เบนซ์ เองก็ได้ก้าวเข้าสู่สังเวียนด้วย GLE Coupe ซึ่งในปัจจุบัน (ปี 2025) ได้พัฒนามาสู่เจเนอเรชันที่ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมนำเสนอการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสปอร์ตและความหรูหรา
GLE Coupe รุ่นปัจจุบันได้รับการออกแบบให้มีเส้นสายหลังคาที่ลาดเอียงอย่างมีเอกลักษณ์ มอบความโฉบเฉี่ยวที่แตกต่างจาก GLE รุ่นปกติ แต่ยังคงความแข็งแกร่งและสมรรถนะของ SUV ไว้ได้อย่างครบถ้วน ดีไซน์ด้านหน้ายังคงความดุดันและทันสมัยตามแบบฉบับของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะที่ไฟท้ายได้รับการปรับปรุงให้ดูหรูหราและมีความเป็นรถคูเป้มากยิ่งขึ้น สะท้อนถึงปรัชญา “Sensual Purity” ในการออกแบบ
ภายในห้องโดยสารของ GLE Coupe ได้รับการยกระดับอย่างก้าวกระโดด ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ต้องการให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกเหมือนอยู่ใน “ห้องบัญชาการ” ที่ล้ำสมัยมากกว่าการอยู่ในรถยนต์ แผงหน้าปัดแบบ Digital widescreen cockpit ขนาดใหญ่พิเศษ 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน มอบภาพลักษณ์ที่โอ่อ่าและใช้งานง่าย คอนโซลกลางที่หวือหวา พร้อมเส้นไฟ Ambient Light ที่ปรับเฉดสีได้กว่า 64 สี สร้างบรรยากาศที่หรูหราและเป็นส่วนตัว ระบบผู้ช่วย MBUX เวอร์ชั่นล่าสุดที่ชาญฉลาด สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติ และตอบสนองคำสั่งได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบาย เทคโนโลยี MBUX นี้คือหัวใจสำคัญของการเชื่อมต่อในรถยนต์ยุคใหม่
ในด้านขุมพลัง GLE Coupe รุ่นปัจจุบันยังคงนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลังที่ให้แรงบิดมหาศาล หรือรุ่นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปกับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบทั้งสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่สามารถถ่ายแรงบิดระหว่างเพลาหน้า-หลังได้อย่างชาญฉลาด ช่วยให้ GLE Coupe มีความคล่องตัวและยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงในทุกสภาพเส้นทาง ระบบช่วงล่างถุงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL (ที่สามารถเลือกเป็นออปชั่นเสริมได้) ยังคงเป็นฟีเจอร์เด่นที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวถัง ลดอาการโคลง และมอบความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า
ด้าน ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ GLE Coupe จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น Active Distance Assist DISTRONIC, Active Stop-and-Go Assist, Active Steering Assist ที่ทำงานร่วมกันเพื่อมอบความอุ่นใจและความปลอดภัยสูงสุดในทุกการเดินทาง ซึ่งล้วนเป็นมาตรฐานที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยึดมั่น
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย: ผู้นำที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ปี 2025 ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความแข็งแกร่งของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถหรูได้อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อคุณภาพ นวัตกรรม และภาพลักษณ์อันโดดเด่นของแบรนด์ กลยุทธ์ที่สำคัญของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปที่ 4 เสาหลัก:
การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EQ Brand): เมอร์เซเดส-เบนซ์ คือผู้บุกเบิกและผู้นำในตลาด ยนตรกรรมไฟฟ้า และ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ในประเทศไทยอย่างแท้จริง แบรนด์ได้สร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม ตั้งแต่การนำเสนอรถยนต์ EQ Power (PHEV) และ EQ (BEV) รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การขยายเครือข่าย สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 200 แห่ง และยังคงเดินหน้าเพิ่มขึ้นอีก การลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่
พอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย: เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงนำเสนอรถยนต์หลากหลายรุ่น ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ภายใต้แบรนด์หลักอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี (Mercedes-AMG) สำหรับผู้ที่หลงใหลใน สมรรถนะสปอร์ต และ เมอร์เซเดส-มายบัค (Mercedes-Maybach) สำหรับสุดยอดแห่งความหรูหรา พร้อมด้วยรถยนต์จากแบรนด์เทคโนโลยี EQ ที่เป็นตัวเลือกสำหรับอนาคต การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอในแต่ละปี แสดงให้เห็นถึงพลวัตของแบรนด์ในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด
ประสบการณ์ลูกค้าเหนือระดับ (Customer Experience): การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงสานต่อกลยุทธ์ “Best Customer Experience” ผ่านกิจกรรมไลฟ์สไตล์ภายใต้แพลตฟอร์ม “She’s Mercedes” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากนี้ การสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ผ่าน Facebook และ Instagram ยังช่วยสร้างการรับรู้และเชื่อมโยงกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริการ “Mercedes me connect” ยังคงเป็นหัวใจของการ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ ระหว่างลูกค้า รถยนต์ และศูนย์บริการ มอบความสะดวกสบายและการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
บริการหลังการขายที่เป็นเลิศและการขยายเครือข่าย: เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ยกระดับบริการหลังการขายในทุกมิติ ทั้งการนำเสนอแคมเปญบริการอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ล่าสุด คลังอะไหล่แห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ได้เปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยระบบการจัดการที่ทันสมัยและสต็อกอะไหล่ที่ครบครัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายอะไหล่ให้กับผู้จำหน่ายทั่วประเทศ และลดระยะเวลาการรอคอย การพัฒนาศักยภาพของช่างเทคนิคผ่านโครงการ “เยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE)” ยังคงเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อมอบ บริการหลังการขาย ที่ได้มาตรฐาน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการและศูนย์บริการสีและตัวถังที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ยนตรกรรมแห่งปี 2025: เจาะลึกรุ่นเด่นที่ขับเคลื่อนตลาด
เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำใน ตลาดรถยนต์ไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้นำเสนอพอร์ตโฟลิโอรถยนต์ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย โดยในปี 2025 นี้ ยังคงมีรุ่นไฮไลต์ที่น่าสนใจซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้น:
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: ความหรูหราสง่างามในแบบ SUV 7 ที่นั่ง
GLS คือนิยามของ “S-Class แห่งรถยนต์ SUV” ซึ่งสะท้อนถึงความหรูหรา ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีระดับสูง ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูง ULTRA RANGE Highbeam ที่ทำงานด้วยหลอด LED จำนวนมาก สามารถปรับความเข้มและความยาวของลำแสงได้อย่างอิสระ เพื่อทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในทุกสภาพการขับขี่ ล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เพิ่มความหรูหราและสุนทรียภาพในการเดินทาง
ภายในห้องโดยสารรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่าน ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น มอบพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเป็นพิเศษ เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุดถึง 2,400 ลิตร ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit สองจอ และระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” เป็นมาตรฐาน รวมถึง Head-up Display ระบบแผนที่นำทางที่มีความแม่นยำสูง และระบบเสียง Burmester® มอบความบันเทิงระดับพรีเมียม GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมบริการ Mercedes me connect ที่ครบครัน ทั้งระบบโทรฉุกเฉิน การวิเคราะห์สภาพรถยนต์ และการควบคุมฟังก์ชันรถผ่านสมาร์ทโฟน ด้วย ราคาเริ่มต้น ที่ประมาณ 8,xxx,xxx บาท (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามรุ่นและออปชั่นในปี 2025) GLS ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มองหา SUV พรีเมียม ขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic: SUV อัจฉริยะประกอบในประเทศ
GLE รุ่นประกอบในประเทศยังคงเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยดีไซน์ที่ผสานความสง่างามและความแข็งแกร่งของ SUV เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไฟหน้า MULTIBEAM LED และ AMG Bodystyling รอบคัน พร้อมล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 21 นิ้ว ทำให้ GLE 300 d ดูโดดเด่นและทรงพลัง
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบอย่างประณีต ด้วยวัสดุคุณภาพสูง เช่น หนัง ARTICO และหนัง Nappa ระบบ MBUX พร้อมจอ Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว สองจอ และ Head-up Display มอบความสะดวกสบายและ เทคโนโลยียานยนต์ ที่ล้ำสมัย เบาะนั่งแถวที่สองที่ปรับพับและปรับพื้นที่วางขาได้ด้วยระบบไฟฟ้า (เป็นแบรนด์แรกที่นำเสนอในกลุ่ม SUV) เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงเบาะแถวที่สาม ความจุห้องเก็บสัมภาระที่สูงถึง 2,055 ลิตรเมื่อพับเบาะ ช่วยให้การเดินทางทุกรูปแบบเป็นไปอย่างราบรื่น
GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic มาพร้อม ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist เพื่อความอุ่นใจสูงสุดในการขับขี่ ด้วย ราคาเริ่มต้น ที่ประมาณ 5,xxx,xxx บาท (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามรุ่นและออปชั่นในปี 2025) GLE 300 d ยังคงเป็นมาตรฐานของ SUV ระดับพรีเมียมที่ผลิตในประเทศ
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé และ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé: สมรรถนะ AMG E PERFORMANCE
สำหรับผู้ที่ต้องการ สมรรถนะสปอร์ต และความเร้าใจในแบบฉบับ AMG, GLC Coupé ทั้งสองรุ่นนี้คือคำตอบ ในปี 2025 AMG ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ “E Performance” ซึ่งเป็นการผสานพลังของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มพละกำลังและประสิทธิภาพที่เหนือชั้น
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ดุดันด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grille, ล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว และปีก AMG พร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่ช่วยเรื่องอากาศพลศาสตร์ ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะ AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather, พวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้ม DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่มควบคุม AMG steering wheel button หน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว และระบบ MBUX พร้อมจอ 12.35 นิ้ว ระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมด “RACE” มอบประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่ง เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (อาจมีการเสริมระบบ Mild-Hybrid หรือ Plug-in Hybrid ในรุ่นปี 2025 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ) ส่งกำลังผ่านเกียร์ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ให้พละกำลังมหาศาล ด้วย ราคาเริ่มต้น ที่ประมาณ 10,xxx,xxx บาท
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé (รุ่นประกอบในประเทศโฉมใหม่): ด้วยระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ (อาจมีการเสริมระบบ Mild-Hybrid ในรุ่นปี 2025) GLC 43 Coupé มอบความคล่องตัวและเร้าใจในทุกการขับขี่ ดีไซน์ภายนัพพร้อมชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grille, ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอยด์ AMG ขนาด 20 นิ้ว ภายในโดดเด่นด้วยเบาะ AMG Sport seat หุ้มหนัง DINAMICA microfibre, พวงมาลัยสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa, หน้าจอเรือนไมล์ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และ MBUX พร้อม Head-up Display ระบบ AMG DYNAMIC SELECT และระบบ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G มอบการควบคุมที่เฉียบคมและตอบสนองรวดเร็ว ด้วย ราคาเริ่มต้น ที่ประมาณ 4,xxx,xxx บาท
Mercedes-Benz E 300 e (รุ่นปัจจุบัน): ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดที่ก้าวล้ำ
ในปี 2025 E-Class ได้เข้าสู่เจเนอเรชันใหม่ (W214) และ E 300 e ที่เคยเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้ถูกพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม E-Class Plug-in Hybrid รุ่นปัจจุบันยังคงเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ EQ Power ด้วยการผสมผสานเครื่องยนต์เบนซินเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาดใหญ่ขึ้น (จากเดิม 13.5 kWh เป็น 25.4 kWh ในรุ่นล่าสุด) ทำให้ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เกิน 100 กม. ตามมาตรฐาน WLTP) และลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างยอดเยี่ยม
E 300 e รุ่นปัจจุบันมีดีไซน์ที่สง่างามตามคอนเซ็ปต์ Sensual Purity พร้อมกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้า MULTIBEAM LED (ในรุ่นท็อป) และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังคุณภาพสูง (ARTICO หรือ Nappa) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน และ Digital widescreen cockpit พร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่ ระบบ MBUX และไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร 64 สี มอบความสะดวกสบายและประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
ด้าน ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ E 300 e มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวมสูงสุดที่น่าประทับใจ และ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รุ่นใหม่ที่รองรับการชาร์จแบบ AC และ DC (เช่น 11 kW AC และ 55 kW DC) ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในเวลาอันรวดเร็ว ด้วย ราคาเริ่มต้น ที่ประมาณ 3,xxx,xxx – 4,xxx,xxx บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและออปชั่นในรุ่นปี 2025) E 300 e ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่หรูหรา มีสมรรถนะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ก้าวสู่อนาคต: นวัตกรรมและความยั่งยืน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปี 2025 ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การนำเสนอรถยนต์ที่หรูหราและมีสมรรถนะสูงเท่านั้น แต่ยังคงมุ่งมั่นกับการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมยานยนต์ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ การเชื่อมต่อที่ชาญฉลาดไร้รอยต่อ และการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่การผลิตและตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
วิสัยทัศน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือการสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา สะดวกสบาย และเป็นมิตรต่อโลก พร้อมมอบ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่ปลอดภัยและน่าตื่นเต้นในทุกการเดินทาง แบรนด์ดาวสามแฉกยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้า ความสง่างาม และความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์หรูไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
หากท่านกำลังมองหายานยนต์ที่ผสมผสานความหรูหรา นวัตกรรม และความรับผิดชอบต่ออนาคตได้อย่างลงตัว เมอร์เซเดส-เบนซ์ คือคำตอบที่ท่านไม่ควรมองข้าม ขอเชิญสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษเหล่านี้ได้ที่ผู้จำหน่าย เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
