ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดรถหรูระดับโลกอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่หยุดนิ่งในการผสานความหรูหราเข้ากับนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน บทความนี้จะพาทุกท่านเจาะลึกถึงเส้นทางอันน่าทึ่งของแบรนด์ดาวสามแฉก ทั้งในแง่ของผลงานการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ การแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด กลยุทธ์ทางธุรกิจในประเทศไทย และการขับเคลื่อนสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมฉายภาพความสำเร็จและทิศทางของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปี 2025
เมื่อศิลปะบรรจบกับวิศวกรรม: มรดกจาก Project Geländewagen และแรงบันดาลใจแห่งอนาคต
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นได้หันมาจับจ้องโครงการสุดพิเศษที่ชื่อว่า “Project Geländewagen” ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่าง Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ ซีอีโอและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Off-White และหลุยส์ วิตตอง ในขณะนั้น กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โปรเจกต์นี้ได้นำรถยนต์ออฟโรดในตำนานอย่าง G-Class มาปรับโฉมใหม่ให้กลายเป็น “ผลงานศิลปะในรูปแบบรถยนต์” ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำออกประมูลเพื่อสนับสนุนชุมชนสร้างสรรค์ระดับโลกผ่าน Sotheby’s
แนวคิดของทั้งสองนักออกแบบคือการผลักดัน G-Class ให้ก้าวข้ามขีดจำกัด จากรถ 4×4 ที่เน้นความสมบุกสมบัน ให้กลายเป็น “Race Car” ที่ฉูดฉาดและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่เกินจริง ด้วยตัวถังที่กว้างขึ้น เตี้ยลงอย่างมาก ล้อแม็กและยางขนาดใหญ่ที่ดูผิดสัดส่วนแต่กลับสร้างความสะดุดตา พวงมาลัยที่ถอดแบบมาจากรถ Formula 1 อย่าง Project 1 และเบาะที่นั่งจาก DTM Car ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมถึงชิ้นส่วนด้านความปลอดภัยภายในรถที่ถูกเน้นด้วยสีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู
Project Geländewagen ไม่ได้เป็นเพียงการทดลองออกแบบ แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเป็นผืนผ้าใบสำหรับศิลปะและการออกแบบอันล้ำยุค การร่วมมือครั้งนี้ได้สร้างบทสนทนาใหม่ระหว่างโลกของยานยนต์หรู ศิลปะ และแฟชั่น ซึ่งยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับการออกแบบและนวัตกรรมใหม่ๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปัจจุบัน และเป็นการตอกย้ำว่าแบรนด์ไม่เคยหยุดที่จะสำรวจขอบเขตใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้ขับขี่และผู้ชื่นชอบยานยนต์ทั่วโลก
การช่วงชิงบัลลังก์ SUV Coupé: จากความท้าทายสู่ชัยชนะที่เหนือกว่า
ในช่วงปลายปี 2019 ถึงต้นปี 2020 ตลาดรถยนต์ SUV Coupé ระดับพรีเมียมได้เข้าสู่สนามรบอันดุเดือด เมื่อ All-new BMW X6 รุ่นปี 2020 เปิดตัวนำไปก่อน ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องเร่งเครื่องด้วย All-new Mercedes-Benz GLE Coupé 2020 เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การแข่งขันครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ยอมให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีกต่อไป
ย้อนกลับไปในยุคที่ BMW X6 (E71) เจเนอเรชั่นแรกบุกเบิกตลาด SUV Coupé จนประสบความสำเร็จ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยอมรับว่าการตัดสินใจปล่อย Mercedes-Benz GLE Coupé ออกมาสู้ในภายหลัง ทำให้ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่พัฒนาไปแล้วถึงเจเนอเรชั่นที่ 2 (F16) อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เรียนรู้จากประสบการณ์และพลิกเกมกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในเซกเมนต์นี้ได้อย่างน่าประทับใจ
สำหรับ All-new GLE Coupé ที่เปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2020 นั้น ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตและเฉียบคมยิ่งกว่า Mercedes-Benz GLE ด้วยแนวหลังคาที่ลาดลงอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของ “รถยนต์ SUV Coupé” ที่ผสานความแข็งแกร่งของ SUV เข้ากับความสง่างามของรถคูเป้ได้อย่างลงตัว แม้ส่วนหน้าจะมีความคล้ายคลึงกับ GLE แต่การปรับเปลี่ยนรายละเอียดด้านท้าย โดยเฉพาะไฟท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ ทำให้ GLE Coupé ดูหรูหราและมีความเป็นรถคูเป้มากขึ้นอย่างชัดเจน
ภายในห้องโดยสารของ All-new GLE Coupé ได้รับการยกระดับสู่มาตรฐานยานยนต์หรูยุคใหม่ ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ขับขี่รู้สึกเหมือนอยู่ใน “ห้องบัญชาการ” ที่ล้ำสมัย แตกต่างจาก BMW X6 ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ ห้องโดยสารของ GLE Coupé จึงมีความโปร่งโล่ง (แม้จะมีพื้นที่น้อยกว่า GLE เล็กน้อยจากการออกแบบหลังคาและฐานล้อที่สั้นลง 60 มม.) พร้อมแผงมาตรวัดแบบดิจิทัลขนาดใหญ่ ประกอบด้วยจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน มอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ พร้อมระบบ MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มาพร้อม AI อัจฉริยะ สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติของผู้ขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด
วัสดุตกแต่งภายในสะท้อนถึงความประณีตระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัดและแผงประตูหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ARTICO พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ Nappa เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีหนัง Nappa แท้ให้เลือกเป็นออปชั่นเพิ่มเติม เพื่อยกระดับความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุด ขุมพลังดีเซล 6 สูบที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ GLE Coupé ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่ดีไซน์ แต่ยังมอบสมรรถนะการขับขี่ที่คล่องตัวและทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานล้อที่สั้นกว่า GLE ช่วยให้การควบคุมรถมีความว่องไวและแม่นยำยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2025 นี้ Mercedes-Benz GLE Coupé ยังคงเป็นหนึ่งใน “รถยนต์ SUV พรีเมียม” ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานให้ทันสมัยอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ระบบกันสะเทือนสปริงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ที่เคยเป็นออปชั่นเสริมในช่วงแรก ปัจจุบันได้กลายเป็นมาตรฐานหรือมีตัวเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในรุ่นย่อยระดับสูง เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและเสถียรภาพสูงสุดในทุกสภาพถนน ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่เคยเป็นออปชั่นก็ได้รับการพัฒนาและขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อความอุ่นใจในการเดินทางทุกเส้นทาง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย: ตอกย้ำความเป็นผู้นำ 18 ปี สู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าและประสบการณ์เหนือระดับในปี 2025
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้พิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำตลาดรถหรูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 18 ปี และยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรม การขยายผลิตภัณฑ์ และการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง หากย้อนกลับไปในปี 2018 เมอร์เซเดส-เบนซ์สร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คัน และในปี 2019 ก็ได้วางแผนเชิงรุกที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่มากกว่า 20 รุ่น ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ พร้อมปูพรมกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ดำเนินไปอย่างประสบความสำเร็จ และเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบันในปี 2025
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้ตอกย้ำบทบาทในการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “รถยนต์ไฟฟ้า” และ “ปลั๊กอินไฮบริด” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ EQ Brand ในปี 2025 เราได้เห็นการแนะนำรถยนต์ EQ Power (ปลั๊กอินไฮบริด) และ EQ (รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ BEV) หลากหลายรุ่นเข้าสู่ตลาดไทย พร้อมกับการลงทุนมหาศาลในการสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและลดต้นทุน ไปจนถึงการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจุดชาร์จมากกว่า 200 แห่ง และมีแผนที่จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
นอกจากนี้ แบรนด์ Mercedes-AMG ยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลการดำเนินงานในปี 2018 ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 309% การรุกตลาดด้วยรถยนต์ AMG ทั้งรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศ การจัดกิจกรรม “Mercedes-AMG Driving Experience” และการเปิดตัว “AMG Brand Center” แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 11 แห่งทั่วโลก ได้สร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบ “รถสปอร์ต” และสมรรถนะสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านบริการลูกค้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะมอบ “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” (Best Customer Experience) ผ่านกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งปัจจุบันมีถึง 36 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงการเปิด “คลังอะไหล่แห่งใหม่” (Parts Distribution Center) บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 ซึ่งเป็นคลังอะไหล่ที่ครบวงจรที่สุด พร้อมระบบจัดการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุด
การพัฒนาบุคลากรก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ ด้วยการสนับสนุนโครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ซึ่งได้ผลิตช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมงานกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วจำนวนมาก และยังคงขยายศูนย์ฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ล้วนตอกย้ำความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเป็นมากกว่าผู้จำหน่ายรถยนต์ แต่เป็นผู้มอบประสบการณ์และความเชื่อมั่นตลอดเส้นทางการเป็นเจ้าของ
เจาะลึก 5 ยนตรกรรมไฮไลต์: นิยามของความหรูหรา ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมในปี 2025
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2019 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว 5 ยนตรกรรมใหม่ล่าสุดในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 36 ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมและตอบสนองความต้องการของตลาด “รถหรู” ได้อย่างแม่นยำ และรถยนต์เหล่านี้ยังคงเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตโฟลิโอแบรนด์จนถึงปัจจุบันในปี 2025 ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: S-Class แห่งโลก SUV
“รถยนต์ SUV พรีเมียม” ขนาดใหญ่แบบ 7 ที่นั่งรุ่นล่าสุดจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ได้รับการขนานนามว่าเป็น “S-Class แห่งโลก SUV” ด้วยการผสานความหรูหราสง่างามเข้ากับความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกสบายเหนือระดับ เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อม ULTRA RANGE Highbeam ที่ประกอบด้วยหลอดไฟ LED 112 หลอดต่อโคม สามารถปรับความเข้มและระยะลำแสงได้อย่างอิสระ มอบทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยม ภายในห้องโดยสารรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่านอย่างกว้างขวาง ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มม. เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างอิสระ เพิ่มความจุสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร
ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผล Digital widescreen cockpit 2 จอต่อเนื่องกัน และระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” รวมถึง Head-up display ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน พร้อมระบบแผนที่นำทางที่มีความแม่นยำสูง ระบบเสียง Burmester® และ Mercedes me connect ที่มาพร้อมฟีเจอร์ช่วยเหลือฉุกเฉินและวิเคราะห์สภาพรถยนต์ ทำให้ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวที่ต้องการความหรูหรา ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีล้ำสมัย
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic: นิยามใหม่ของ SUV หรูสไตล์สปอร์ต
“รถ SUV หรู” รุ่นประกอบในประเทศอย่าง GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ได้รับการออกแบบภายใต้ปรัชญา Sensual Purity ผสานความหรูหราเข้ากับความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตอย่างลงตัว ด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน ล้ออัลลอย AMG Multi-spoke ขนาด 21 นิ้ว และไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่ช่วยเสริมความดุดัน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางด้วยฐานล้อที่ยาวถึง 2,995 มม. (เพิ่มขึ้น 80 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) ตกแต่งด้วยโครเมียมและหนังสังเคราะห์ ARTICO พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ
ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อม Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว สองจอต่อเนื่องกัน และ Head-up display มอบประสบการณ์การใช้งานที่ล้ำสมัย ระบบความปลอดภัยของ GLE 300 d ได้รับการพัฒนาให้เหนือชั้นกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมาก ด้วย Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ GLE เป็น “รถยนต์” ที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดในการขับขี่สำหรับปี 2025
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: พลัง V8 Bi-turbo สำหรับนักขับตัวจริง
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความแรงและสมรรถนะระดับมอเตอร์สปอร์ต “รถสปอร์ต SUV” อย่าง Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือคำตอบ ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่แบบ Hot inside V ที่มอบพละกำลังมหาศาล ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง และปีกท้าย AMG ที่เพิ่มลุคสปอร์ต
ภายในห้องโดยสารเน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยเบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG Nappa leather และพวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้ม DYNAMICA microfibre พร้อมปุ่มควบคุม AMG Steering Wheel Button แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว ที่มีโหมดการแสดงผล 3 แบบ (Classic, Sport, Super sports) และ MBUX พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.35 นิ้ว มอบการควบคุมที่ง่ายและรวดเร็ว ระบบกันสะเทือน air suspension ที่ทำงานร่วมกับ AMG RIDE CONTROL+ และระบบ AMG DYNAMIC SELECT พร้อมโหมด RACE ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจสูงสุดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ในปี 2025
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé: สมรรถนะ AMG ที่เข้าถึงง่ายขึ้น
“รถยนต์สมรรถนะสูง” อีกหนึ่งรุ่นที่สร้างความตื่นเต้นไม่แพ้กันคือ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่แบบ Biturbo ที่ให้พละกำลังและแรงบิดที่โดดเด่น พร้อมระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC ดีไซน์ภายนอกยังคงความสปอร์ตดุดันด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling, กระจังหน้า AMG-specific radiator grill และไฟหน้า MULTIBEAM LED
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะนั่ง AMG Sport seat ตัดสลับ DINAMICA microfibre ด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสปอร์ตหุ้มหนัง Nappa พร้อมระบบ MBUX, จอเรือนไมล์ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และ AMG Head-up Display มอบความสะดวกสบายและข้อมูลที่จำเป็นครบครัน ระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT และระบบความปลอดภัยขั้นสูงเช่น Distance Pilot DISTRONIC ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างมั่นใจและเร้าใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ “รถสปอร์ต” ที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้
Mercedes-Benz E 300 e: ปลั๊กอินไฮบริดอัจฉริยะ ก้าวสำคัญสู่ยานยนต์ไฟฟ้า
“รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด” อัจฉริยะอย่าง Mercedes-Benz E 300 e ซึ่งมีจำหน่ายใน 3 รุ่นย่อย (Avantgarde, Exclusive, AMG Dynamic) ได้รับการออกแบบให้เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในการก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ขนาดความจุ 13.5 kWh ที่เพิ่มขึ้นถึง 110% จากรุ่นก่อนหน้า ทำให้ระยะทางสูงสุดในการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นถึง 60% พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้นในโหมดไฮบริด
E 300 e ผสานขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,991 ซีซี 211 แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า ทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิด 700 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่มอบการขับเคลื่อนที่นุ่มนวลและประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะหนัง ARTICO หรือ Nappa (ในรุ่น AMG Dynamic) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน และ Digital widescreen cockpit พร้อมระบบ Audio 20 GPS และ MBUX รวมถึง Mercedes me connect
E 300 e ไม่ใช่แค่ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็น “ยานยนต์แห่งอนาคต” ที่เต็มไปด้วยระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ เช่น PRE-SAFE®, ESP®, ABS, ADAPTIVE BRAKE, Cruise Control, ATTENTION ASSIST และ Parking Pilot ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอ “เทคโนโลยีรถยนต์” ที่ล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
สรุป: เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปี 2025 – มรดกแห่งความหรูหรา ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืน
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งจากการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ การแข่งขันอย่างชาญฉลาดในตลาด และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า แบรนด์ดาวสามแฉกไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในการนำเสนอ “รถหรู” ที่ทันสมัย แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกในการนำเสนอ “รถยนต์ไฟฟ้า” และ “ปลั๊กอินไฮบริด” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกอนาคต
จาก Project Geländewagen ที่เป็นแรงบันดาลใจด้านศิลปะ ไปจนถึงการช่วงชิงบัลลังก์ในตลาด SUV Coupé และการลงทุนครั้งใหญ่ในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการรักษาความเป็นผู้นำไม่ใช่แค่การสร้างรถยนต์ที่ดีที่สุด แต่คือการสร้างสรรค์อนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่น่าตื่นเต้น ปลอดภัย และยั่งยืนสำหรับทุกคน “เมอร์เซเดส-เบนซ์” จึงไม่ใช่แค่ชื่อของ “รถยนต์” แต่เป็น “แบรนด์พรีเมียม” ที่เป็นตัวแทนของนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง.

