ในโลกแห่งยนตรกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำตลาดรถยนต์หรูอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การพัฒนานวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ แบรนด์ดาวสามแฉกนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ ที่ผสานความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว บทความนี้จะพาทุกท่านเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จ แพลตฟอร์มสำคัญที่กำหนดทิศทาง และยนตรกรรมเรือธงที่ยังคงสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์
แรงบันดาลใจจากอดีต: โครงการ Geländewagen อันเป็นตำนาน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 โลกยานยนต์และแฟชั่นได้จับตามองการบรรจบกันของสองตำนานอย่าง Mercedes-Benz G-Class และ Off-White ในโปรเจกต์ “Geländewagen” ซึ่งเป็นผลงานการร่วมมือระหว่าง Virgil Abloh อดีต CEO ของ Off-White และ Artistic Director ของ Louis Vuitton กับ Gordon Wagener หัวหน้าฝ่าย Design ของ Mercedes-Benz โปรเจกต์นี้ไม่ใช่แค่การนำรถยนต์มาแต่งใหม่ แต่เป็นการพลิกโฉม G-Class ซึ่งมีพื้นฐานเป็นรถออฟโรด 4×4 ให้กลายเป็นผลงานศิลปะเชิงแข่งรถอย่างแท้จริง การประมูลผลงานชิ้นเอกนี้ผ่าน Sotheby’s ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดในการผสานโลกแห่งดีไซน์ยานยนต์และวัฒนธรรมร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน
G-Class รุ่นพิเศษคันนี้ได้ขยายมิติให้กว้างขึ้น ปรับช่วงล่างให้เตี้ยลง พร้อมล้อแม็กและยางขนาดใหญ่ที่สร้างความสะดุดตาอย่างเหนือจริง ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบใหม่หมดจดด้วยแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Formula 1 และ DTM Car ของ Mercedes-Benz พวงมาลัยจาก Project 1 และเบาะที่นั่งสไตล์รถแข่งที่เน้นความกระชับ ผสานกับองค์ประกอบด้านความปลอดภัยที่ใช้สีแดงสด เช่น เข็มขัดนิรภัยและมือจับประตู สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความเร็วและความเร้าใจ แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงปี 2025 แต่จิตวิญญาณของโปรเจกต์ Geländewagen ยังคงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการผลักดันขอบเขตของการออกแบบและสมรรถนะของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และยังคงเป็นหลักฐานยืนยันถึงความกล้าที่จะแตกต่างและสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
การแข่งขันในตลาด SUV Coupe: บทเรียนจากอดีต สู่ความเป็นผู้นำในปัจจุบัน
ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 ตลาดรถยนต์ SUV Coupe พรีเมียมเป็นสมรภูมิที่ดุเดือด โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่าง Mercedes-Benz และ BMW เมื่อ BMW X6 บุกเบิกตลาดนี้และประสบความสำเร็จอย่างสูงในเจเนอเรชั่นแรก (E71) ทำให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องใช้เวลาในการพัฒนา GLE Coupe เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ All-new Mercedes-Benz GLE Coupe ในปี 2020 ถือเป็นการประกาศศักดาอย่างชัดเจนว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้ตามหลังอีกต่อไป แต่กลับเร่งเครื่องเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์นี้ ด้วยการนำเสนอรถยนต์ที่ผสานความสปอร์ตของรถคูเป้เข้ากับความอเนกประสงค์ของ SUV ได้อย่างลงตัว
ในมุมมองของปี 2025 All-new GLE Coupe ที่เคยเปิดตัวไปได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นรถยนต์ที่โดดเด่น ด้วยแนวหลังคาที่ลาดเอียงอย่างมีสไตล์ ซึ่งแตกต่างจาก GLE SUV รุ่นปกติที่เน้นความหรูหราแบบอเนกประสงค์ การออกแบบภายนอกยังคงรักษาความสง่างามตามแบบฉบับของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคันและล้ออัลลอยขนาดใหญ่ ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ที่บางลงเสริมมุมมองด้านหลังให้ดูมีความเป็นรถคูเป้มากขึ้นอย่างชัดเจน
ภายในห้องโดยสารของ All-new GLE Coupe ได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากแนวทางการรักษาเอกลักษณ์เดิมที่คู่แข่งใช้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกที่จะฉีกแนวคิดการออกแบบห้องโดยสารให้ดูห่างไกลจากความเป็นรถยนต์แบบเดิมๆ สร้างบรรยากาศคล้ายห้องบัญชาการที่โปร่งโล่ง แต่ยังคงความหรูหราและล้ำสมัย แผงมาตรวัดและหน้าจอระบบความบันเทิงขนาด 12.3 นิ้วสองจอต่อเนื่องกัน (Digital widescreen cockpit) กลายเป็นหัวใจสำคัญที่มอบข้อมูลและระบบควบคุมต่างๆ ให้กับผู้ขับขี่ พร้อมคอนโซลกลางที่ออกแบบมาอย่างหวือหวา ประดับด้วยเส้นไฟ Ambient Light ที่ปรับเฉดสีได้กว่า 64 สี สร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันในทุกการเดินทาง
ระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) เวอร์ชั่นล่าสุดที่มาพร้อมกับ GLE Coupe ในขณะนั้น ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น สามารถเข้าใจสำนวนการพูดคุยปกติได้อย่างชาญฉลาด ทำให้การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและสะดวกสบายยิ่งขึ้น วัสดุภายในเลือกใช้หนังสังเคราะห์ ARTICO และหนัง Nappa แท้สำหรับพวงมาลัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และมีตัวเลือกอัปเกรดเป็นหนัง Nappa คุณภาพสูงสำหรับการตกแต่งอื่นๆ สะท้อนถึงความประณีตและใส่ใจในทุกรายละเอียด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ GLE Coupe ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในตลาด SUV Coupe พรีเมียมจนถึงปัจจุบัน
ในด้านสมรรถนะ All-new Mercedes-Benz GLE Coupe สำหรับตลาดยุโรปในขณะนั้น นำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 2 รุ่น ได้แก่ GLE Coupe 350 d 4MATIC (272 แรงม้า, 600 นิวตันเมตร) และ GLE Coupe 400 d 4MATIC (330 แรงม้า, 700 นิวตันเมตร) ทั้งสองรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ที่สามารถกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและหลังได้ 0-100% ตามสถานการณ์ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและการบังคับควบคุมที่แม่นยำ ด้วยฐานล้อที่สั้นกว่า GLE SUV ทำให้ GLE Coupe มีความว่องไวและคล่องตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในทางโค้งที่ต้องการการตอบสนองที่ฉับไว
แม้ระบบกันสะเทือนสปริงลม AIRMATIC และ E-ACTIVE BODY CONTROL ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวถังจะถูกเสนอเป็นออปชันเสริม แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เข้ามาเสริมประสบการณ์ขับขี่ให้เหนือระดับ ลดอาการโคลงและการโยนตัวของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Active Braking Assist ถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ขณะที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงอื่นๆ เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Active Stop-and-Go Assist และ Active Steering Assist ก็มีให้เลือกเป็นออปชันเสริม เพื่อให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกเส้นทาง เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ Mercedes-Benz GLE Coupe ยังคงเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่โดดเด่นและเป็นที่ต้องการในตลาด รถ SUV หรู ในปี 2025
รากฐานแห่งความสำเร็จ: วิสัยทัศน์และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
ความสำเร็จอันต่อเนื่องยาวนานของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นผลพวงจากวิสัยทัศน์และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่วางรากฐานมาตั้งแต่ช่วงปี 2018-2019 ในขณะนั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถหรูติดต่อกันถึง 18 ปี ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15,785 คันในปี 2018 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งและ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์
ทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญในปี 2019 คือการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่มากกว่า 20 รุ่น ครอบคลุมในทุกเซกเมนต์ ทั้ง Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และแบรนด์เทคโนโลยี EQ การเปิดตัวรถยนต์สมรรถนะสูงตระกูล Mercedes-AMG 53 อย่าง CLS 53 4MATIC+ รุ่นประกอบในประเทศ และ E 53 4MATIC+ Coupé รุ่นนำเข้า ถือเป็นการจุดประกายความเร้าใจให้กับตลาดรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ต
นอกจากนี้ การลงทุนในบริการหลังการขายก็เป็นหัวใจสำคัญ โดยมีการเปิด “คลังอะไหล่แห่งใหม่” ที่ครบวงจรที่สุดในปี 2019 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายอะไหล่และลดระยะเวลาการซ่อมบำรุง รวมถึงการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการคุณภาพสูงได้อย่างทั่วถึง โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า แต่ยังสร้าง ความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ในระยะยาว
มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ อดีตประธานบริหาร ได้เคยกล่าวไว้ว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญที่สุด โดย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ทำลายสถิติด้วยยอดจำหน่ายที่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น การมุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ครอบคลุมตั้งแต่การแนะนำรถยนต์ใหม่ การให้บริการหลังการขาย การขยายสถานีชาร์จ และการเดินสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่วางรากฐานให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงสานต่อกลยุทธ์นี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยี EQ Boost สำหรับรถยนต์ไฮบริด และการพัฒนา AMG Brand Center เพื่อมอบประสบการณ์การครอบครองและบริการสำหรับรถยนต์ Mercedes-AMG โดยเฉพาะ การขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ การร่วมมือกับเครือโรงแรมชั้นนำ และการจัดกิจกรรม “Mercedes-Benz EQ Tech Day” เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสร้าง ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์
ในด้านการบริการลูกค้าและพัฒนาบุคลากร เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้วางกลยุทธ์ “Best Customer Experience” ผ่านกิจกรรมไลฟ์สไตล์อย่าง “She’s Mercedes” เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มต่างๆ รวมถึงการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ การพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิคจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และการสนับสนุนนักเรียนอาชีวะภายใต้โครงการเยอรมัน-ไทย เพื่อความเป็นเลิศในการศึกษาทวิภาคี (GTDEE) ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถมอบ บริการหลังการขาย ที่เหนือระดับและมีมาตรฐานสูงสุดให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ยนตรกรรมเรือธง: นิยามใหม่แห่งความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยีในปี 2025
ในงานแสดงยนตรกรรมครั้งสำคัญเมื่อปลายปี 2019 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัว 5 ยนตรกรรมรุ่นใหม่ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และทิศทางของแบรนด์ ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย:
Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium: สุดยอด SUV 7 ที่นั่งแห่งความหรูหรา
ในฐานะ ยนตรกรรมอเนกประสงค์พรีเมียม (Large Full-Size SUV) แบบ 7 ที่นั่ง Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังคงเป็นหนึ่งในเรือธงของรถยนต์ SUV สุดหรูในปัจจุบัน ด้วยการออกแบบที่สง่างามผสานความแข็งแกร่ง เครื่องยนต์ดีเซลที่ให้พละกำลังมหาศาล และความประณีตทุกรายละเอียดที่เทียบเท่ารถยนต์ตระกูล S-Class เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED พร้อมระบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่ประกอบด้วยหลอดไฟ LED 112 หลอดต่อโคม สามารถปรับความเข้มและทิศทางแสงได้อย่างอิสระ มอบทัศนวิสัยที่เหนือกว่าในทุกสภาพการขับขี่ ล้ออัลลอย AMG ขนาด 21 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้าเสริมความโอ่อ่าอย่างสมบูรณ์แบบ
ภายในห้องโดยสารคืออาณาจักรแห่งความสะดวกสบาย ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มม. รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ท่านอย่างแท้จริง เบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน EASY-ENTRY สำหรับการเข้าออกแถวที่ 3 ได้อย่างสะดวกสบาย ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร 64 สี และระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ THEMOTRONIC สร้างความสุนทรีย์ในการเดินทาง เทคโนโลยี MBUX ที่มาพร้อมจอแสดงผล Digital widescreen cockpit 2 จอต่อเนื่องกัน และระบบสั่งงานด้วยเสียง “Hey Mercedes” ทำให้การควบคุมง่ายดายและเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ระบบ Head-up display และ ระบบนำทาง Hard Disc Navigation ที่มีความแม่นยำสูง ยังช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน พร้อมด้วยบริการ ‘Mercedes me connect’ ที่เชื่อมต่อรถยนต์กับเจ้าของได้อย่างชาญฉลาด มอบความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ในราคา 8,859,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัวในขณะนั้น) GLS ยังคงเป็นนิยามของ ประสบการณ์ขับขี่พรีเมียม สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic: SUV สุดหรูรุ่นประกอบในประเทศ
Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ถือเป็นผลลัพธ์ของการผสานคุณสมบัติอัจฉริยะเข้ากับความงามทางการออกแบบอย่างลงตัว ด้วยปรัชญา Sensual Purity ตัวถังที่แข็งแกร่งแต่ไร้เหลี่ยมมุม กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมที่ยกตัวสูง แผ่นกันกระแทกชุบโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED สร้างความดุดันและโดดเด่น ชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน และล้ออัลลอย AMG Multi-spoke ขนาด 21 นิ้ว ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเป็น รถ SUV หรู ที่น่าดึงดูด
ภายในห้องโดยสารคือการผสมผสานความหรูหราแบบเมอร์เซเดส-เบนซ์เข้ากับความแข็งแกร่งแบบ SUV ฐานล้อที่ยาวถึง 2,995 มม. มอบพื้นที่ภายในที่กว้างขวางเป็นพิเศษ เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa พร้อมหน่วยบันทึกความจำ และเบาะแถวที่สองที่ปรับด้วยระบบไฟฟ้า มอบความสะดวกสบายสูงสุด ความจุห้องเก็บสัมภาระด้านหลังสูงถึง 855 ลิตร และสามารถเพิ่มเป็น 2,055 ลิตรเมื่อพับเบาะนั่งลง รวมถึงหลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้าช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง เทคโนโลยี MBUX และระบบ Head-up display รวมถึงระบบเสียง Burmester® ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ล้ำสมัยในรุ่นนี้
ในด้าน ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ The new GLE ได้รับการพัฒนาให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น เช่น Active Distance Assist DISTRONIC, Blind Spot Assist, Active Lane Keeping Assist และ Active Brake Assist ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360˚ และ Electronic Traction System 4ETS สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน ในราคา 5,190,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัวในขณะนั้น) GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ยังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหา รถยนต์พรีเมียม ที่ประกอบในประเทศ
Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé: พลังแห่งสมรรถนะที่เร้าใจ
สำหรับผู้ที่ต้องการ สมรรถนะ AMG อย่างแท้จริง Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupé คือคำตอบ ด้วยรูปลักษณ์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์คูเป้ ผสานความแข็งแกร่งดุดันแบบ SUV พร้อมขับเคลื่อนในทุกสถานการณ์ ชุดตกแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน กระจังหน้า AMG-specific radiator grille แนวตั้ง และล้ออัลลอย 20 นิ้วน้ำหนักเบาจาก AMG สร้างความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED 84 หลอด มอบทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยม และปีกท้าย AMG พร้อมดิฟฟิวเซอร์ดีไซน์ใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์
ภายในห้องโดยสาร เบาะนั่ง AMG Performance seats หุ้มหนัง AMG nappa leather และพวงมาลัย AMG Performance Steering Wheel หุ้ม DYNAMICA microfibre แบบท้ายตัด มอบความกระชับและควบคุมได้อย่างแม่นยำ แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว (All-digital instrument display) พร้อม 3 โหมดการแสดงผลแบบ AMG และ ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผล 12.35 นิ้วและ Touchpad ทำให้การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น
ระบบกันสะเทือน air suspension ที่ทำงานร่วมกับ AMG RIDE CONTROL+ ควบคุมผ่าน AMG DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ รวมถึง “RACE” สำหรับสนามแข่ง มอบ ประสบการณ์ขับขี่เหนือระดับ พร้อมเสียงเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 4 ลิตรแบบ Hot inside V ที่เร้าอารมณ์ ระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT MCT 9G Sport Transmission ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและตอบสนองได้อย่างฉับไว ระบบความปลอดภัย PRE-SAFE®, ESP®, ABS และกล้อง 360˚ camera เสริมความมั่นใจในทุกการเดินทาง ในราคา 10,790,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัวในขณะนั้น) GLC 63 S 4MATIC+ Coupé ยังคงเป็น ยนตรกรรมพรีเมียม ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ SUV สมรรถนะสูง
Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé: สมดุลแห่งสมรรถนะและความสง่างาม
สำหรับผู้ที่ต้องการ สมรรถนะ AMG ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ โฉมใหม่ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยระบบขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC และการออกแบบที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ชุดแต่ง AMG Bodystyling กระจังหน้า AMG-specific radiator grill ไฟหน้า MULTIBEAM LED และล้ออัลลอย AMG 20 นิ้ว ล้วนเสริมความดุดันอย่างลงตัว ปลายท่อไอเสีย AMG Performance exhaust system และระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL+ air suspension ที่ปรับแต่งแบบ AMG sports ช่วยเพิ่ม ความเร้าใจในการขับขี่
ภายใน เบาะนั่ง AMG Sport seat หุ้มหนังผสม DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง และ AMG Carbon-fibre trim สร้างบรรยากาศสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa และ ระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมหน้าจอเรือนไมล์ All Digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และบริการ ‘Mercedes me connect’ มอบความสะดวกสบายและ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ล้ำสมัยครบครัน
เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ Biturbo พร้อมระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของชุดเทอร์โบ (boost pressure) ที่ทำงานร่วมกับเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G มอบพละกำลังและแรงบิดที่สูง ทำให้ สมรรถนะเหนือระดับ พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ ระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะต่างๆ เช่น Distance Pilot DISTRONIC ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายในการเดินทาง ในราคา 4,990,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัวในขณะนั้น) GLC 43 4MATIC Coupé ยังคงเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความหรูหรา สมรรถนะ และ ความคล่องตัวในเมือง
Mercedes-Benz E 300 e: ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดที่ขับเคลื่อนสู่อนาคต
Mercedes-Benz E 300 e รุ่นประกอบในประเทศ ยังคงเป็น ยนตรกรรมซาลูนอัจฉริยะ ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ในการขับเคลื่อนสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยความโดดเด่นด้านสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,991 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 700 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 13.5 kWh ที่เพิ่มระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้เป็น รถยนต์ไฮบริด ที่ประหยัดเชื้อเพลิงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ดีไซน์ภายนอกยังคงความสง่างามตามคอนเซ็ปต์ Sensual Purity ด้วยกระจังหน้าโครเมียม และไฟหน้า MULTIBEAM LED ในรุ่น E 300 e AMG Dynamic และ E 300 e Exclusive ที่ปรับความเข้มแสงให้เข้ากับสภาพการจราจร ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO หรือ Nappa (ในรุ่น AMG Dynamic) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส และ ระบบ Audio 20 GPS พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว รวมถึงระบบไฟสร้างบรรยากาศ 64 สี สร้างความสุนทรีย์ตลอดการเดินทาง
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยี เช่น PRE-SAFE® system, ESP®, ABS, Active Brake Assist และ Parking Pilot รวมถึงกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ มอบความมั่นใจและความสะดวกสบายในการขับขี่ บริการ ‘Mercedes me connect’ ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อกับรถยนต์และผู้จำหน่ายได้อย่างง่ายดาย ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 3,190,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัวในขณะนั้น) E 300 e ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาด รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ที่ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพ ความหรูหรา และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
สรุป: การก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
ในปี 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จในอดีต แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ และ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการขยายเครือข่ายบริการลูกค้าและพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสูงสุด การลงทุนในระบบนิเวศ รถยนต์ไฟฟ้า การสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ผสานความหรูหรา สมรรถนะ และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้แบรนด์ดาวสามแฉกยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทางและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่แท้จริงและเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคเสมอมา

