แต่ทั้งเวอร์ชัน AMG ปกติ และ AMG Edition 1 จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดุดันขึ้นกว่า
A-Class รุ่นปกติอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดจากชุดกันชนหน้าแบบใหม่ พร้อมช่องดักอากาศขนาดเขื่อง
เพื่อสอดรับกับเครื่องยนต์ที่สมรรถนะสูงมากขึ้น พร้อมกับการติดตั้งปีกสปอยเลอร์หลังใหม่เพื่อเพิ่มแรงกด
ขณะขับขี่ในความเร็วสูง และสวมล้ออัลลอยสีดำ ดุมล้อแดง ขนาด 19 นิ้ว
ขุมพลังที่นำมาใช้ในฮอตแฮทช์คันล่าสุดจาก Mercedes-Benz คันนี้ คือขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร
เช่นเดียวกับรุ่น A250 แต่มีการปรับจูนใหม่ จนมีกำลังมหาศาลถึง 360 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด
450 นิวตัน-เมตรเลยทีเดียว
การออกจำหน่ายน่าจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากงานเจนีวาจบลง โดยรุ่น Edition 1 จะนำออกมาจำหน่ายจนถึง
เดือนมีนาคมปีหน้าเท่านั้น
Miitsubishi
ในที่สุด Mitsubishi ก็ได้เผยภาพรถต้นแบบคันจริงผ่านสื่อออกมาแล้วทั้ง Mitsubishi CA-MiEV และ GR-HEV
concept (ว่าที่ Triton ใหม่) ก่อนอื่นเราต้องขอไปดู GR-HEV concept ก่อนเพราะว่ากันว่ารถต้นแบบคันนี้คือต้นแบบ
ของ Triton โฉมต่อไปนั่นเอง

ทรวดทรงองค์เอวของ GR-HEV concept จะใกล้เคียงกับ Triton เจเนเรชั่นเดิมเพียงแต่ปรับปรุงงานดีไซน์ให้ดูแข็งแกร่ง
และคมสันขึ้น ด้านหน้าจะได้รับอิทธิพลมาจาก Mitsubishi Pajero และ Outlander ซึ่งจะใช้กระจังหน้าแบบบานเกล็ด
ธรรมดา ส่วนด้านข้างก็จะเพิ่มเส้นสันเอวที่ดูแข็งแกร่ง และได้ต่อเติมบั้นท้ายให้ดูยาวกว่าเดิมมากแต่ก็ดูล้ำสมัยด้วยการ
ออกแบบไฟท้ายสุดล้ำ (เพิ่มเติม : คาดว่ารถคันขายจริงจะต้องลดความยาวตัวถังลงบ้าง มิเช่นนั้นคงจะดูเกะกะมาก
เกินไป)


จุดเด่นของ GR-HEV concept คือ การติดตั้งขุมพลัง Diesel-Hybrid ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แค่เพียง 149 กรัม
ต่อกิโลเมตรและติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select ผนวกกับระบบ S-AWC ที่ติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัวไว้ใน
แต่ละล้อทำให้การขับขี่มั่นคงในทุกสภาพถนน



Mitsubishi CA-MiEV ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นต้นแบบของ i-Miev เจเนเรชั่นถัดไปสำหรับตลาดโลก ดีไซน์ในเบื้องต้นก็จะมี
กลิ่นของความเป็น Smart บ้าง (ทั้งที่ปัจจุบันทั้ง Mitsubishi และ Smart ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว) สัดส่วนตัวรถ
จะออกแนวสปอร์ตแฮทช์แบคที่เน้นหลักการอากาศพลศาสตร์เพราะสังเกตจากบั้นท้ายที่ถูกออกแบบให้ลดแรงกดด้าน
ท้าย
จุดเด่นของมันคือ นเทคโนโลยีรถ EV สำหรับเจเนเรชั่นต่อไปที่ทำให้มีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 300 กิโลเมตรเลยทีเดียว
Porsche
งานนี้ Porsche ตั้งใจพัฒนา 911 GT3 ใหม่ ให้เป็น GT3 ที่เร้าใจ แรง และเร็วที่สุดเท่าที่ได้เคยผลิตมา โดยมีการ
กล่าวว่า GT3 ใหม่ จะมีรอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 10,000 รอบ/นาที โดยเริ่มขีดแดงที่ 9,000 รอบ/นาที ซึ่งเครื่องยนต์
ดังกล่าวเป็นเครื่อง 6 สูบนอน 3.8 ลิตร พร้อมกำลังสูงถึง 450 แรงม้าเลยทีเดียว


ตัวรถ จะเป็นนำแชสซีส์จากรุ่น 911 Carrera 4 มาดัดแปลงใช้ พร้อมกับการสวมยางหน้ากว้างพิเศษ ด้วยซีรีส์ 245/20
ในล้อคู่หน้า และ 305/20 ในล้อคู่หลัง โดย Porsche ได้เตรียมเวอร์ชัน Clubsport ให้กับ GT3 ใหม่ สำหรับ
ผู้ที่ต้องการนำ GT3 ที่สมรรถนะสูงขึ้นไปอีกหรือไว้ขับในสนาม
Rolls-Royce
ค่าย Rolls-Royce ได้สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจภายในงาน Geneva Motorshow 2013 ด้วยการอวดโฉม Rolls-
Royce Wraith หรือ Ghost Coupe ที่มีข่าวให้ติดตามมานานก่อนเปิดตัวร่วมปีเลยทีเดียว เมื่อมองที่ตัวรถก็พบว่ามัน
สร้างความตะลึงในด้านความงามพอสมควรและยังรวมไปถึงคุณค่าของงานวิศวกรรมที่อยู่ในระดับ The State of The
Art และที่สำคัญ Rolls-Royce ก็ภาคภูมิใจว่ามันเป็นรถยนต์ที่แรงและสมรรถนะดีที่สุดเท่าที่เคยผลิตกันมา

รูปลักษณ์ของ Rolls-Royce Wraith จะใช้โครงสร้างตัวถังด้านหน้าร่วมกับ Ghost เพียงแต่ปรับปรุงรายละเอียดกันชน
หน้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตั้งแต่เสา A เป็นต้นไปจะไม่เหมือนกับ Ghost เลย เพราะ Rolls-Royce Wraith มันเป็นรถที่มี
สัดส่วนเตี้ยกว่า Ghost อย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนด้านท้ายก็จะมาแนว Fastback ที่ตัดกับเส้นขอบผ่านที่ขนานกับพื้น มิติ
ตัวถังก็จะสั้นกว่า Ghost 130 มม. กว้างกว่า 40 มม. เตี้ยกว่า 43 มม. ส่วนฐานล้อก็หดสั้นลงราว 183 มม.

ภายในห้องโดยสารก็ยกชุดมาจาก Ghost เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุหุ้มหนังใหม่, เพิ่มแถบเมทัลลิคและติดตั้งหลอดไฟขนาด
เล็กแบบไฟเบอร์ออพติค 1,340 ดวงให้บรรยากาศเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้า (Starlight Headliner)
ขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์ V12 624 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 1,500 รอบต่อนาทีจับคู่เกียร์ ZF 8 จังหวะ
ทำให้มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.4 วินาที
หากเศรษฐีท่านใดสนใจก็สามารถสั่งซื้อได้เลย เพราะรถกว่าจะประกอบสำหรับส่งลูกค้าก็ต้องรอช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
นี้ครับ
Subaru



Suzuki Viviz Concept รถต้นแบบครอสโอเวอร์ 3 ประตูที่เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันอยู่ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า
ตลาดรถครอสโอเวอร์กำลังมาแรงเอามาก ๆ เลยทีเดียว ติดตั้งขุมพลัง 2.0 ลิตร ดีเซล Hybrid SI-DRIVE โดยมีมอเตอร์
ไฟฟ้าช่วยในการวิ่งความเร็วต่ำจนถึงปานกลาง ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเน้นกำลังขับในความเร็วสูง
Toyota
ในที่สุด Toyota ก็หวนกลับมาเล่นรถยนต์ในกลุ่มตลาดคอมแพคท์แวกอนสำหรับตลาดยุโรปอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายกัน
ไปนานเหลือเกิน มาคราวนี้ก็มาในมาดใหม่ที่ทำให้ทุกคนลืมภาพพจน์เก่า ๆ ของ Corolla Wagon ในอดีตได้นั่นก็คือ
Toyota Auris Touring Sports

Toyota Auris Touring Sports จะใช้ครึ่งคันหน้าและบานประตูผู้โดยสารตอนหลังร่วมกับ Toyota Auris รุ่นใหม่ที่เพิ่ง
เปิดตัวไปหมาด ๆ แล้วออกบั้นท้ายให้ยื่นยาวในสไตล์รถสปอร์ตแวกอน ส่วนบานฝากระโปรงท้ายก็ออกแบบเน้นการใช้
งานเป็นหลัก
Toyota Auris Touring Sports จะมีความยาวตัวถังมากกว่ารุ่นแฮทช์แบค 285 มม. แต่ยังคงรักษาระยะความยาวฐาน
ล้อที่ 2,600 มม. ทำให้มีเนื้อที่ห้องสัมภาระ 550 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงแล้วจะมีเนื้อที่มากถึง 1,658 ลิตร และที่น่าทึ่ง
คือขอบพื้นห้องสัมภาระจะเตี้ยกว่ารุ่นแฮทช์แบคถึง 100 มม. เลยทีเดียวก็เรียกได้ว่าเห็นหน้าตาสปอร์ตแบบนี้ก็ใช่ว่าจะ
อเนกประสงค์เหมือนคนอื่นไม่ได้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบพับเบาะหลังแบบสัมผัสปุ่มกดแค่ครั้งเดียว เบาะหลังก็จะพับให้
ทันที


เครื่องยนต์กลไกก็มีให้เลือกทั้งเบนซิน 1.33 ลิตรและ 1.6 ลิตร, ดีเซล 1.4 ลิตรและ 1.8 ลิตร ปล่อยมลพิษต่ำแค่เพียง 86
กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนขุมพลัง Hybrid ต้องอดทนรอสักพักไปก่อน
Toyota มั่นใจว่า Auris Touring Sports จะทำให้ Toyota รักษาส่วนแบ่งการตลาดยอดขายในกลุ่มตลาด C-Segment
ในยุโรป 5% ได้แน่นอน

Toyota FT-86 Open Concept มีรูปลักษณ์ภายนอก คล้ายคลึงกับรุ่นตัวถังคูเป้เกือบทุกประการ มีเพียงส่วนหลังคา
และเสา C-Pillar ที่หายไปถูกแทนที่ด้วยชุดหลังคาผ้าใบ ควบคุมการเปิด-ปิดหลังคาด้วยไฟฟ้า แม้อาจต้องมีการสูญเสีย
ความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสัมภาระด้วยการพับเบาะอย่างเช่นในรุ่นตัวถังคูเป้ แต่ Toyota กล่าวว่า ในเวอร์ชันเปิด
ประทุนนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสประสบการณ์ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ยังคงมีความสนุกและอรรถรสในการขับขี่
อย่างเต็มเปี่ยม อันเป็นจุดเด่นของ Toyota 86
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการตกแต่งใหม่ ให้ดูแตกต่างและดูสว่างมากขึ้น โดยการใช้โทนสีขาวเป็นหลัก ตัด
กับสีน้ำเงิน Navy และปูพรมห้องโดยสารด้วยโทนสีขาว-ทอง รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์บนคอนโซลหน้าเล็กน้อย
ด้วยการตัดระบบอินโฟเทนเมนท์ออกไป และแทนที่ด้วยระบบเครื่องเสียงพร้อมมาตรวัดรายละเอียดต่างๆของเครื่องยนต์

แม้จะยังไม่มีการประกาศตัวเลขสมรรถนะของตัวรถต้นแบบคันนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นไปได้สูงว่า
Toyota FT-86 Open Concept ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกับในรุ่นตัวถังคูเป้ ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน
แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร D4S กำลัง 200 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร


Toyota i-Road Concept รถต้นแบบสามล้อยุค Hi Tech เห็นคำว่าสามล้อก็กรุณาอย่าไปคิดถึงรถตุ๊กตุ๊กเมืองไทย
เรา เพราะรถต้นแบบคันนี้มันเข้ายุคสมัยกว่าเยอะด้วยการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 กิโลวัตต์สองลูกสำหรับการขับเคลื่อนไป
ยังล้อคู่หน้าและล้อหลัง จัดเก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน มีระยะทางวิ่งสูงสุดเพียง 48 กิโลเมตร
เลย์เอาท์ของยานพาหนะคันนี้จะดูคล้ายกับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มากเพียงแต่มีหลังคา,ประตูและกระจกเหมือนกับ
รถยนต์ มันมีความยาวแค่เพียง 2,350 มม. สูง 1,445 มม. ฐานล้อยาว 1,700 มม.

หากใครกลัวเข้าโค้งแล้วเสียวหลุดโค้งคงไม่ต้องห่วงครับเพราะ Toyota ติดตั้งระบบ Active Lean ซึ่ง ECU จะคำนวณ
องศาการเอนสำหรับการเข้าโค้งให้เหมาะสมกับความเร็วตัวรถและการขยับเขยื้อนพวงมาลัย
Volkswagen
Volkswagen Golf Variant ถือเป็นรูปแบบตัวถังที่สำคัญพอๆกับตัวถังแฮตช์แบกเลยทีเดียว จากการตอบรับของ
ผู้บริโภคชาวยุโรปที่ชื่นชอบตัวถังแวกอนอันเอนกประสงค์ ประกอบกับตัวรถ Golf ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยา จึงถูก
นำมาเปิดตัวเป็นตัวถังแบบที่ 2 ต่อจากตัวถังแฮตช์แบกกันเลย และ Golf Variant ใหม่นี้ได้กลับมาพร้อมภาพลักษณ์ที่
สปอร์ตเฉียบคม ไม่ต่างจาก Golf ตัวถังแฮตช์แบก โดยรูปลักษณ์ด้านท้ายก็ยืดความยาวออกมาได้ถูกออกแบบโดยอิงเส้น
สายหลักจากตัวถังแฮตช์แบกเช่นกัน แต่มีการออกแบบฝากระโปรงท้ายและโคมไฟท้ายใหม่ พร้อมกับการติดตั้งราวหลังคา
สีเงิน ส่วนรูปลักษณ์ด้านหน้าอิงงานดีไซน์จากรุ่นแฮตช์แบก ไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ


ด้านขุมพลัง เป็นการยกชุดมาจากรุ่นแฮตช์แบกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ TSI ทั้ง 2 บล็อก
1.2 ลิตร (85 และ 105 แรงม้า) และ 1.4 ลิตร (122 และ 140 แรงม้า) รวมถึงขุมพลังดีเซลเทอร์โบ TDI ขนาด 1.6 ลิตร
105 แรงม้า และ 2.0 ลิตร 150 แรงม้า โดยไร้แผนการผลิตเวอร์ชัน GTI หรือ GTD สำหรับรุ่นตัวถังแวกอน

หลังจากเริ่มต้นโครงการ ‘1-Litre Car’ หรือ รถยนต์ 1 ลิตร แล่นได้ 100 กม. เมื่อปี 2002 วันนี้ ถือเป็นวันที่
Volkswagen ค่ายรถยนต์เพื่อประชาชน ประสบความสำเร็จในการเข็นผลงานจากโครงการนี้ออกมาผลิตและขายจริง
ในชื่อ 2013 Volkswagen XL1 โดยเตรียมโชว์ตัวอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show 2013 และขาย
แบบสั่งผลิตโดยเฉพาะ
รูปลักษณ์ภายนอก ถูกออกแบบให้มีความลู่ลมมากที่สุด Volkswagen เลือกที่จะใช้รูปแบบตัวถังแบบคูเป้ 2 ประตู 2 ที่
นั่งพร้อมการปิดซุ้มล้อหลัง และใช้ประตูแบบปีกนก และกระจกมองข้างแบบดิจิตอล ด้วยเหตุผลด้านน้ำหนักและความลู่
ลมผลที่ออกมา ทำให้ XL1 ดูยาวแปลกตา (แต่จริงๆแล้วตัวรถสั้นกว่า VW Polo) และมีสัดส่วนที่ไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป
โดยสามารถสร้างค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศได้ต่ำเพียง 0.189 ถือเป็นรถยนต์ขายจริงที่มีค่า Cd ต่ำที่สุด
ในขณะนี้
ภายในห้องโดยสาร มีการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พลาสติก CFRP เป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวรถ ถึงแม้ว่า
จะถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักตัวรถน้อยที่สุด แต่บรรดาอุปกรณ์ไฮเทคก็ไม่ได้ถูกลดทอนลงไป โดยยังมีพวงมาลัย
คาร์บอนไฟเบอร์พร้อมหุ้มหนังแท้ ระบบนำทาง GPS ระบบปรับอากาศ Climatic พร้อมหน้าจอแสดงภาพแทนกระจกมอง
ข้างบนแผงประตูทั้ง 2 ข้าง
ด้านงานวิศวกรรมตัวถัง เป็นการออกแบบเพื่อสร้างความแข็งแรง แต่ก็ต้องมีน้ำหนักที่เบาอย่างสุดขีดเช่นกัน ดังนั้น
ทีมวิศวกรจึงเลือกออกแบบโครงสร้างโมโนค็อกให้มีน้ำหนักน้อยที่สุด โดยหันมาใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP และ
แม็กนีเซียมอัลลอยเป็นหลัก ดังนั้น ตัวถังรถจะมีน้ำหนักเพียง 230 กก. และเมื่อรวมกับระบบขับเคลื่อนและอุปกรณ์
ทั้งหมด ตัวรถจะมีน้ำหนักเพียง 795 กก.เท่านั้น

อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ Volkswagen XL1 จิบน้ำมัน 1 ลิตร แล่นได้ 100 กม. คือขุมพลังที่ Volkswagen คิดใหม่
ทั้งหมดโดยเป็นขุมพลังดีเซลไฮบริด ควบรวมเครื่องยนต์ดีเซล TDI พร้อมเทอร์โบ แบบ 2 สูบ ขนาด 800 ซีซี กำลัง 47
แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 27 แรงม้า เก็บประจุไฟผ่านแบตเตอรี่ Li-ion ขนาดกำลัง 55 kWh เชื่อมต่อกำลังผ่าน
ล้อคู่หลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ช่วยสร้างอัตราเร่ง0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.7 วินาที และประหยัด
น้ำมันได้มากถึง 111 กม./ลิตร ปล่อยก๊าซไอเสียออกมาต่ำเพียง 21 กรัม/กม. โดยเครื่องยนต์จะถูกติดตั้งกลางลำตัวรถ
เพื่อสร้างความสมดุลให้ได้มากที่สุด ในขณะที่แบตเตอรี่จะถูกติดตั้งด้านหน้ารถ
การขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วน จะสามารถแล่นได้ 50 กม. และเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมด เครื่องยนต์ดีเซล
จะช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งได้อีก 499 กม. โดย XL1 มีถังน้ำมันขนาดเล็กเพียง 10 ลิตรเท่านั้น
2013 Volkswagen XL1 จะถูกผลิตขึ้นพร้อมให้ลูกค้าชาวยุโรปจับจองเป็นเจ้าของเป็นจำนวน 50 คัน ก่อนจะสั่ง
ผลิตตามออเดอร์เป็นรายคันไป โดยการส่งมอบน่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีครับ

หลังจากปล่อยให้แฟนๆ Volkswagen ชะเง้อคอรอกันมานาน Volkswagen ก็ได้ส่ง
ภาพชุดแรกพร้อมรายละเอียดอย่างเป็นทางการ ของ 2013 Volkswagen Golf GTI รหัสแรงของ Golf รุ่นที่ 7 โดย
เป็นการเปิดตัวตามหลังเวอร์ชัน GTD เพียงสัปดาห์เดียว ก่อนจะเปิดให้ชาวยุโรปจับจองกันเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับ
การนำเสนอรุ่น GTI Performance เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Golf
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นเหมือนกับที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชุดกันชนหน้า-หลังให้
มีความแตกต่างจากรุ่นธรรมดา และมีคล้ายคลึงกับรุ่น GTD เช่น ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ พร้อมกระจังหน้าลายรังผึ้ง
ให้ความสปอร์ตดุดันมากขึ้นชัดเจน รวมไปถึงการคาดขอบแดง ยาวตั้งแต่โคมไฟหน้าซ้ายไปจนถึงโคมไฟหน้าขวา
เน้นรูปลักษณ์ในแบบ GTI ให้ชัดเจนขึ้น
ส่วนด้านข้างมาพร้อมชายล่างทรงสปอร์ต และด้านท้ายมาพร้อมชุดกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมครีบรีดอากาศ และชุดไฟ
ท้ายLED ที่มีรายละเอียดภายในโคมแตกต่างจากรุ่นธรรมดา เสริมความสปอร์ตมากขึ้นด้วยท่อไปเสียโครเมี่ยมคู่ และสวม
ล้ออัลลอยลายมาตรฐาน ‘Brooklyn’ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง

ห้องโดยสารมีความคล้ายคลึงกับรุ่น GTD ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งบัคเกตซีท ทรงสปอร์ต หุ้มด้วยผ้า ‘Clark’ อันเป็น
เอกลักษณ์ของ GTI และตกแต่งแสงสว่างภายในห้องโดยสารด้วยแสงสีแดง เปลี่ยนพวงมาลัย 3 ก้านให้เป็นทรงสปอร์ต
มากขึ้นกว่า GTI รุ่นเดิม พร้อมกับหัวเกียร์หุ้มหนังและหน้าจอมาตรวัดที่มีโลโก้ GTI ตกแต่งห้องโดยสารให้มีความสปอร์ต
ในแบบ GTI เป็นพิเศษ รวมถึงแป้นคันเร่ง-เบรกแบบสเตนเลสสตีล
หัวใจของความแรงครั้งนี้ ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส EA888 ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TSI ที่มี
การปรับปรุงจนมีพละกำลังมากขึ้นจากรุ่นเดิม 10 แรงม้า เป็น 220 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อ
กำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์ธรรมดาหรืออัตโนมัติ DSG แบบ 6 จังหวะ
และเป็นครั้งแรกที่ Volkswagen ตั้งใจพัฒนารุ่น GTI Performance เพิ่มขึ้นมา โดยจะมีความพิเศษที่มีการเพิ่มพละ
กำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 350 แรงม้า แต่มีแรงบิดเท่ากัน และมีการเพิ่มขนาดจานดิสก์เบรกให้ใหญ่ขึ้นทั้งล้อคู่หน้าและหลัง

โดยในรุ่น GTI จะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที ในขณะที่รุ่น GTI Performance จะทำได้เร็วกว่าที่
6.4 วินาที ในขณะเดียวกัน ในรุ่น GTI เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ จะสามารถสร้างความประหยัดได้ถึง 16.6 กม./ลิตร
ถือว่าประหยัดขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 18% ในขณะที่รุ่นเกียร์อัตโนมัติ DSG จะทำได้ 15.6 กม./ลิตร ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น
รุ่น GTI จะอยู่ที่ 246 กม./ชม. และรุ่น GTI Performance อยู่ที่ 250 กม./ชม.



Volkswagen e-Co-Motion Concept จะเป็นรถตู้ต้นแบบขนาดเล็กที่มีความคล่องแคล่วสูง, ทัศนวิสัยเยี่ยมและ
ออกแบบเบาะนั่งตามหลักสรีระศาสตร์พร้อมทั้งจัดวางตำแหน่งเบาะให้ลุกเข้า/ลุกออก/เดินเข้าหากันได้อย่างสะดวก อีกทั้ง
ยังออกแบบให้พื้นตัวรถเตี้ยตลอดทั้งคันจึงทำให้การขนของเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
มิติตัวถังภายนอกมีความยาว 4.55 เมตร กว้าง 1.90 เมตร สูง 1.96 เมตร มีเนื้อที่ภายในห้องสัมภาระ 4.6 ลูกบาศก์เมตร
หรือรองรับน้ำหนักบรรทุก 800 กิโลกรัม
จุดเด่นของรถต้นแบบคันนี้มีคือพื้นตัวถังแบบ 2 ชั้น ชั้นล่างสุดจะติดตั้งระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลังได้แก่ แบตเตอรี่
และเกียร์ เป็นต้น ส่วนชั้นบนก็จะเป็นพื้นที่บรรทุกของ
Volvo
ตอนแรกเราดู Volvo ว่าน่าจะเป็นค่ายรถหรูที่ติ๋ม ๆ หงิม ๆ ค่อย ๆ เปิดตัวทีละเล็กละน้อยตามประสาค่ายรถที่ทุนไม่หนา
มาก แต่กาลกลับกลายเป็นว่า Volvo กลับเร่งแผนธุรกิจของตนเองให้มาแนว Aggressive มากยิ่งขึ้น คงเพราะ Geely
ต้นสังกัด Volvo ยุคใหม่เริ่มอัดฉีดเงินมากขึ้นประกอบกับสำนักงานใหญ่ในสวีเดนก็ต้องเริ่มกระตุ้นตัวเองมากยิ่งขึ้น(มิ
เช่นนั้นอาจจะเป็นเหมือนอย่าง Saab) และถ้ามองให้ลึกมากกว่านั้น ชื่อชั้น Volvo ในตลาดโลกไม่ได้ขี้เหร่มากนักเมื่อ
เทียบกับเพื่อนร่วมสัญชาติอย่าง Saab ยังไง ๆ แบรนด์ Volvo ก็ยังเป็นที่น่าจดจำอยู่อีกมากโดยเฉพาะจุดเด่นด้านความ
ปลอดภัย

ล่าสุด Volvo ก็ถล่มอาวุธลูกเล็กลูกล่าสุดด้วยการอวดโฉมรถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange หมดยกแผง (เฉพาะรถที่มี
อายุการตลาดมากและไม่รวม C30 ที่เลิกประกอบไปแล้ว) ได้แก่ S60, V60, XC60, V70, XC70 และ S80
การเปลี่ยนรูปลักษณ์ในครั้งนี้จะสะท้อนความเป็น Volvo ยุคใหม่ที่มีความเรียบหรู, มีเส้นสายที่สะอาดตามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันมันก็ยังดูดีในแบบ Scandinavia design ไว้เช่นเคยซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลักจะอยู่ตรงที่ชุดกระจังที่มีลาย
บานเกล็ดที่ดูหรูขึ้นและกันชนหน้าที่ดูเรียบง่ายขึ้นพร้อมทั้งเน้นลูกเล่นกรอบไฟตัดหมอก

เมื่อพิจารณาในแต่ละรุ่นก็พบว่า Volvo S60/V60/XC60 จะมีความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมตรงชุดกระจังหน้า, เปลี่ยน
โคมไฟหน้าจาก 4 ดวงก็เปลี่ยนเป็นโคม 2 ดวงที่ดูโฉบเฉี่ยวเร้าใจน้อยลง, กันชนหน้าขึ้นโมลด์ใหม่หมดซึ่งลดเส้นสายที่
ซับซ้อนจากรุ่นเดิมพอสมควร
Volvo S60/V60 จะติดตั้งระบบ active Four-C ที่สามารถปรับเปลี่ยนช่วงล่างได้ตามใจผู้ขับขี่ ส่วน XC60 จะติดตั้ง
ระบบ Corner Traction Control



