ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้มาโดยตลอด และปี 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำถึงการพลิกโฉมอย่างไม่เคยมีมาก่อน หากมองย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปี ตลาดรถยนต์ยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยี สีเขียว และความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือแกนหลักของการพัฒนา ยิ่งไปกว่านั้น ความต้องการของผู้บริโภคก็ซับซ้อนและหลากหลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแน่นอนว่า ราคาเชื้อเพลิงที่ผันผวน บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ซึ่งได้กลายเป็นเวทีประชันนวัตกรรมและเทรนด์แห่งอนาคตอย่างแท้จริง
บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025: ประตูสู่อนาคตที่สัมผัสได้
งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 ไม่ใช่แค่งานแสดงรถยนต์ทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นเสมือนศูนย์รวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่โดดเด่นและเป็นหัวใจสำคัญของงานในปีนี้ คือการแสดงศักยภาพของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด สำหรับคนเมือง ไปจนถึง EV SUV สุดหรู และ รถกระบะไฟฟ้าสมรรถนะสูง นอกจากนี้ เทคโนโลยี รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV) ก็ยังคงเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญระหว่างยุคสันดาปกับยุคไฟฟ้าเต็มตัว โดยแบรนด์ชั้นนำต่างนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนผ่าน
มาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่เข้มงวดจากบทเรียนในช่วงการแพร่ระบาดทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน ได้ถูกนำมาปรับใช้และพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมด้วยการผสมผสานประสบการณ์แบบ Physical Event เข้ากับการนำเสนอแบบ Virtual Exhibition อย่างไร้รอยต่อ ทำให้ผู้เข้าชมงานทั้งในและต่างประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลและสัมผัสประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ยอดจองรวมภายในงานปีนี้ แม้จะไม่ได้พุ่งกระฉูดจากกำลังซื้อที่จำกัดในบางกลุ่ม แต่ก็สะท้อนถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มยานยนต์พลังงานใหม่ ด้วยตัวเลขที่ทะลุ 35,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้บริโภคไทยในการก้าวเข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มตัว
เจาะลึกยอดจองรถยนต์ 2025: แบรนด์ใดคือผู้ชนะในสมรภูมิ EV?
การวิเคราะห์ยอดจองจากงานมอเตอร์โชว์ 2025 เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การแข่งขันอย่างชัดเจน แบรนด์ที่สามารถปรับตัวและนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจภายใต้กลยุทธ์ด้าน ราคา EV ที่แข่งขันได้ และ เครือข่ายสถานีชาร์จ ที่ครอบคลุม จะเป็นผู้กุมชัยชนะในระยะยาว
อันดับ 1: BYD – พลังใหม่จากแดนมังกร กวาดตลาด EV ด้วยราคาและการเข้าถึง
ในปี 2025 BYD (บีวายดี) ได้ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า ของไทยอย่างแข็งแกร่ง ไม่เพียงแค่ Model ATTO 3 ที่ยังคงเป็นขวัญใจมหาชน แต่การเปิดตัว BYD Seal และ BYD Dolphin รุ่นอัปเกรดใหม่ล่าสุด พร้อมด้วย BYD Pick-up EV (ที่หลายคนเฝ้ารอ) ได้ทำให้ยอดจองของ BYD พุ่งทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างน่าประทับใจ ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าถึงได้และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ที่ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยและระยะทางวิ่ง ส่งผลให้ผู้บริโภคไทยหันมาให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนมากยิ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ยอดจองกว่า 6,000 คันในงานพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ BYD ที่ไม่ใช่แค่เข้ามา แต่เข้ามาเพื่อเป็นผู้นำตลาด
อันดับ 2: Toyota – ปรับตัวสู่ยุคไฟฟ้า พร้อมคงความแข็งแกร่งจากฐานลูกค้าเดิม
แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดจาก รถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์ใหม่ๆ แต่ Toyota ยังคงรักษาฐานลูกค้าที่ภักดีได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการนำเสนอ Toyota bZ4X รุ่นอัปเกรด และ Toyota Yaris Cross EV ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงการปรับปรุง Toyota Hilux REVO EV และ Toyota Fortuner Hybrid ที่เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายหลักในกลุ่มรถกระบะและ PPV SUV ยอดจองกว่า 4,500 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการปรับตัวของยักษ์ใหญ่รายนี้ ที่ไม่ได้มองข้าม เทคโนโลยีไฮบริด ที่ยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับ EV เต็มรูปแบบ
อันดับ 3: Honda – ผู้นำในกลุ่ม Compact EV และ Hybrid SUV
Honda ยังคงเป็นแบรนด์ยอดนิยมในกลุ่ม รถยนต์ขนาดเล็ก และ SUV ด้วยการเปิดตัว Honda e:N1 (Compact EV SUV) ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม และ Honda CR-V e:FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) ที่แสดงวิสัยทัศน์ในอนาคต ทำให้ Honda สามารถกวาดยอดจองไปได้กว่า 4,000 คัน โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ซีดานอย่าง Honda Civic e:HEV และ Honda City e:HEV ที่ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการ รถยนต์ประหยัดน้ำมัน และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้
อันดับ 4: Tesla – ยังคงเป็นผู้นำในตลาด Premium EV และเทคโนโลยีอัจฉริยะ
Tesla (เทสล่า) แม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่ยังคงเป็นไอคอนแห่ง รถยนต์ไฟฟ้า ระดับพรีเมียม ด้วยการนำเสนอ Tesla Model 3 Highland และ Model Y ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Autopilot ที่ล้ำสมัย และเครือข่าย Supercharger ที่แข็งแกร่ง ทำให้ Tesla ยังคงครองใจผู้ที่ต้องการ EV สมรรถนะสูง และ รถยนต์อัจฉริยะ ยอดจองกว่า 3,500 คัน แสดงให้เห็นว่าแม้ราคาจะสูง แต่คุณค่าของแบรนด์และนวัตกรรมยังคงดึงดูดลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
อันดับ 5: Isuzu – ราชาแห่งกระบะไฟฟ้าและ PPV ที่ไร้เทียมทาน
Isuzu ยังคงเป็น “เจ้าพ่อรถกระบะ” ในตลาดไทยอย่างแท้จริง การเปิดตัว Isuuzu D-MAX EV และ Isuzu MU-X e:Power (PHEV) ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Isuzu เข้ามาแข่งขันในตลาด รถกระบะไฟฟ้า ได้อย่างเต็มตัว โดยไม่ทิ้งจุดแข็งด้านความทนทานและการใช้งานเชิงพาณิชย์ ยอดจองกว่า 3,000 คัน ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าในแบรนด์ Isuzu ที่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างชาญฉลาด
อันดับ 6: MG / GWM – การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด EV ราคาเข้าถึงได้
ในปี 2025 MG และ GWM (Great Wall Motor) ยังคงเป็นคู่แข่งที่น่าจับตาในกลุ่ม EV ราคาประหยัด และ EV SUV ด้วยการนำเสนอ MG Cyberster (Sport EV) และ MG ZS EV รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัยในราคาที่จับต้องได้ ในขณะที่ GWM Ora 07 (Good Cat GT) และ GWM Haval H6 PHEV ก็ยังคงเป็นที่นิยม การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างสองแบรนด์นี้ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือก รถยนต์ไฟฟ้าคุณภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ยอดจองรวมกันของสองแบรนด์นี้สะท้อนถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า ของไทย
อันดับ 7: Mercedes-Benz – ผู้นำในตลาด Luxury EV ด้วยความหรูหราและสมรรถนะ
Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำตลาด รถหรูไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Luxury EV การเปิดตัว Mercedes-Benz EQE SUV และ EQG (G-Class EV) ได้สร้างความฮือฮาและดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักที่ต้องการ รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง และความหรูหราขั้นสุด ยอดจองกว่า 2,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของตลาด รถหรู EV ในไทยที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
อันดับ 8: BMW – ผสมผสานความสปอร์ตเข้ากับนวัตกรรม EV
BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้านความสปอร์ตและสมรรถนะในการขับขี่ ด้วยการนำเสนอ BMW i5 และ BMW iX1 ที่เป็น EV SUV ขนาดกะทัดรัด ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ BMW i7 ก็ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้บริหารที่มองหา รถยนต์ไฟฟ้าหรู ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ยอดจองกว่า 1,800 คัน สะท้อนถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด รถหรู EV ซึ่ง BMW ยังคงเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่ง
อันดับ 9: Neta – ดาวรุ่งพุ่งแรงในตลาด EV เริ่มต้น
Neta (เนต้า) แบรนด์ รถยนต์ไฟฟ้า จากจีนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วย Neta V (SUV EV) และ Neta U ที่นำเสนอ EV ราคาเข้าถึงง่าย พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนไทย ยอดจองกว่า 1,500 คัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Neta ในการเจาะกลุ่มตลาด รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มต้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อันดับ 10: Nissan / Mitsubishi / Ford – การปรับทัพเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่
แบรนด์อย่าง Nissan (นิสสัน), Mitsubishi (มิตซูบิชิ) และ Ford (ฟอร์ด) แม้ยอดจองอาจไม่สูงเท่าผู้นำ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัว Nissan Ariya (EV SUV) เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เช่นเดียวกับ Mitsubishi Triton PHEV และ Ford Ranger Lightning (กระบะไฟฟ้า) ที่กำลังจะเข้ามาเขย่าตลาด รถกระบะไฟฟ้า ในอนาคตอันใกล้ ยอดจองของกลุ่มนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีของการไม่หยุดนิ่งในการพัฒนายานยนต์ให้ทันสมัย
การปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้า 2025: จากกระแสสู่ความจริง
ปี 2025 เป็นปีที่ การปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้า ก้าวข้ามจากกระแสไปสู่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น การพัฒนา แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้น และเวลาการชาร์จที่สั้นลง ทำให้ ความกังวลเรื่องระยะทาง (Range Anxiety) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การขยายตัวของ เครือข่ายสถานีชาร์จ ทั่วประเทศ ทั้งแบบ AC และ DC Fast Charge ทำให้การเดินทางด้วย รถยนต์ไฟฟ้า สะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
เราเห็นแนวโน้มของ EV SUV ที่ยังคงเป็นที่นิยมสูงสุด เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง ความสามารถในการบรรทุกสัมภาระ และทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ แบรนด์ต่างๆ จึงทุ่มเทในการพัฒนา EV SUV รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่นและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
ไม่เพียงแค่เรื่องพลังงานขับเคลื่อน เทคโนโลยีไร้คนขับ (Autonomous Driving) ระดับ Level 2+ และ Level 3 ก็เริ่มเข้ามาเป็นฟีเจอร์มาตรฐานในรถยนต์ระดับกลางถึงสูง ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่มีความแม่นยำและเสถียรภาพสูง
นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาด EV ในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต และเงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า ที่สำคัญของโลก
จุดสูงสุดของความหรูหราและเอกสิทธิ์เฉพาะในปี 2025
ตลาด รถหรูไทย ในปี 2025 ก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่เช่นกัน แบรนด์รถยนต์หรูระดับโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับ Luxury EV และ Hypercar EV อย่างเต็มตัว
Rolls-Royce Spectre ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ รถยนต์ไฟฟ้าหรู ด้วยการผสมผสานงานฝีมืออันประณีตเข้ากับเทคโนโลยี EV ที่ล้ำสมัย มอบประสบการณ์การเดินทางที่เงียบสงบและทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับ Bentley Batur และ Lamborghini Lanzador (EV Concept) ที่แสดงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ยุค EV โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านสมรรถนะและความพิเศษไว้ได้อย่างครบถ้วน ราคา EV หรู เหล่านี้อาจแตะหลักสิบล้านบาทหรือสูงกว่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าที่มองหาความเป็นที่สุด
ในส่วนของ รถกระบะหรู แนวคิดของ BMW X7 Pickup ที่เคยเป็นเพียงแค่รุ่นต้นแบบเมื่อหลายปีก่อน อาจจะเห็นการพัฒนาไปสู่ รถกระบะไฟฟ้าหรู ที่ผลิตจริงจากแบรนด์ยุโรปอื่นๆ เช่น Mercedes-Benz EQT Pickup หรือแม้กระทั่ง Porsche Cayenne EV Pickup ก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาด รถกระบะพรีเมียม ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถกระบะที่มีความสามารถรอบด้าน แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราและความสะดวกสบายระดับเดียวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
เศรษฐกิจยานยนต์และการก้าวเดินไปข้างหน้าของไทยในปี 2025
งานมอเตอร์โชว์ 2025 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย มูลค่าการหมุนเวียนในงานกว่า 50,000 ล้านบาท ไม่เพียงแค่แสดงถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ในตลาด แต่ยังรวมถึงการสร้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้า และปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้น การปรับตัวของผู้ผลิตในประเทศไปสู่การผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและบทบาทของประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตยานยนต์ระดับโลก การลงทุนใน นวัตกรรมยานยนต์ และการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้าน เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในวงการ ผมมองว่าปี 2025 เป็นปีที่ตลาดรถยนต์ไทยเติบโตอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้เกิด นวัตกรรมยานยนต์ ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน ที่ประหยัดพลังงาน หรือ รถยนต์อัจฉริยะ ที่มอบความปลอดภัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการกว่าทศวรรษ ผมเชื่อว่านี่คือยุคทองที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับคนรักรถและผู้ที่กำลังมองหายานยนต์คู่ใจแห่งอนาคต อย่าพลาดที่จะสำรวจเทคโนโลยีและโอกาสใหม่ๆ ที่ตลาดมอบให้ แล้วมาร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมกันบนเส้นทางยานยนต์แห่งปี 2025 ที่เต็มไปด้วยศักยภาพไร้ขีดจำกัดนี้!

