ในฐานะผู้คลุกคลีในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2025 คือหมุดหมายสำคัญที่อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มตัว ไม่ใช่แค่การนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ แต่คือการฉายภาพอนาคตของการเดินทางที่ผสานเทคโนโลยี ความยั่งยืน และประสบการณ์ผู้ใช้งานเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน งานแสดงยานยนต์ใหญ่ประจำปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Motor Show หรืองานอื่น ๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่พลิกโฉมตลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อ
มหกรรมยานยนต์ 2025: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าครองเวที
หากย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มที่หลายคนจับตามองด้วยความกังขา แต่ในปี 2025 นี้ ภาพได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่มีทั้งการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต และเงินอุดหนุน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงง่ายขึ้นและกลายเป็น “ตัวเลือกหลัก” ที่ผู้บริโภคไม่อาจมองข้าม ในงานแสดงยานยนต์ล่าสุด บูธที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนคือบูธของค่ายรถที่นำทัพด้วยนวัตกรรม EV ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) หรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ผู้ผลิตต่างนำเสนอเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่วิ่งได้ไกลขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น และมีความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดจองในงานจึงเป็นเครื่องสะท้อนความสำเร็จของรถยนต์พลังงานทางเลือกเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
ภาพรวมยอดจองในงานแสดงยานยนต์ 2025 (ประมาณการจากกระแสและแนวโน้มตลาด)
แม้จะยังไม่มีตัวเลขทางการของงานแสดงยานยนต์ 2025 ทั้งหมด แต่จากกระแสความสนใจและข้อมูลที่แต่ละค่ายเผยแพร่เบื้องต้น สามารถประมาณการยอดจองของแบรนด์หลักๆ ได้ดังนี้:
อันดับ 1: Toyota (คาดการณ์ยอดจองกว่า 800 คัน)
โตโยต้ายังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ Hybrid เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ อย่าง Corolla Cross HEV, Yaris Cross HEV และ C-HR HEV ยังคงเป็นตัวทำเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ การรุกตลาด EV อย่างจริงจังด้วยรุ่นอย่าง bZ4X ที่เริ่มส่งมอบและขยายไลน์อัพเพิ่มเติม รวมถึงการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าต้นแบบ (EV Pickup Concept) ในงาน ก็สร้างความฮือฮาได้อย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด
ในกลุ่มรถสันดาปภายในและไฮบริดรุ่นอื่น ๆ อย่าง Fortuner GR Sport และ Hilux Revo GR Sport ก็ยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าที่มองหาสมรรถนะและความแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ที่เน้นความกว้างขวางและฟังก์ชันการใช้งานอย่าง Toyota Veloz และ MPV ขนาดกลางที่เตรียมเปิดตัว ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ยอดจองของโตโยต้ายังคงพุ่งทะยาน
อันดับ 2: MG (คาดการณ์ยอดจองกว่า 650 คัน)
MG เป็นอีกหนึ่งค่ายที่สร้างปรากฏการณ์ในตลาด EV ของไทยได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงง่ายและออปชั่นที่คุ้มค่า ในปี 2025 MG ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญ โดยเฉพาะ MG ZS EV โฉมใหม่ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุสูงขึ้นและระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล ขณะที่ MG EP Plus ซึ่งเป็น EV Station Wagon ที่โดดเด่นเรื่องพื้นที่ใช้สอย ก็ยังคงทำยอดขายได้อย่างน่าประทับใจ การนำเสนอเทคโนโลยีอัจฉริยะในราคาที่จับต้องได้ ทำให้ MG ได้ใจกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการลองสัมผัสประสบการณ์ EV
นอกจากนี้ รถยนต์ครอสโอเวอร์ยอดนิยมอย่าง MG HS และ MG ONE ที่มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวและเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ประหยัดพลังงานและมีสมรรถนะที่ดี
อันดับ 3: Ford (คาดการณ์ยอดจอง 500+ คัน)
Ford ยังคงเป็นขวัญใจสายลุยและผู้ที่ชื่นชอบรถกระบะสมรรถนะสูง ด้วย New Ranger, New Ranger Raptor และ New Everest โฉมใหม่ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามในเรื่องของดีไซน์ที่ดุดัน สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีภายในห้องโดยสารที่ทันสมัย โดยเฉพาะ Ranger Raptor ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ สมรรถนะเกือบ 400 แรงม้า สร้างแรงดึงดูดให้กับกลุ่มออฟโรดอย่างแท้จริง การอัปเกรดเทคโนโลยีเชื่อมต่อและระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) ในรถยนต์กลุ่มนี้ ทำให้ Ford ยังคงครองใจลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น และเป็นแบรนด์ที่สร้างยอดจองทะลุเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง
อันดับ 4: Mazda (คาดการณ์ยอดจอง 400+ คัน)
Mazda ยังคงโดดเด่นด้วยดีไซน์ KODO Design ที่เป็นเอกลักษณ์ และเทคโนโลยี Skyactiv ที่เน้นความสมดุลระหว่างสมรรถนะกับความประหยัด ในปี 2025 Mazda ได้ยกระดับอุปกรณ์มาตรฐานและเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานในรุ่นยอดนิยมอย่าง Mazda2, Mazda3, CX-3 และ CX-30 เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ นอกจากนี้ การปรับราคาให้เข้าถึงง่ายขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเริ่มต้นของ CX-3 และ Mazda2 ช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี
สำหรับรถยนต์ PPV อย่าง CX-8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับครอบครัวที่ต้องการความหรูหราและพื้นที่ใช้สอย ส่วนกระบะ BT-50 แม้จะยังไม่โดดเด่นเท่าคู่แข่ง แต่ด้วยความน่าเชื่อถือและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ก็ยังคงมีฐานลูกค้าที่ภักดี
อันดับ 5: Isuzu (คาดการณ์ยอดจอง 380+ คัน)
แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แบบ All-New ที่พลิกโฉม แต่ Isuzu ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในตลาดรถกระบะและ PPV ด้วย D-MAX และ MU-X ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล การนำเสนอรุ่นตกแต่งพิเศษและชุดแต่งออฟโรดในบูธ ช่วยเพิ่มทางเลือกและความน่าสนใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ที่ปรับแต่งได้ตามสไตล์ของตนเอง นอกจากนี้ Isuzu ยังคงมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และเป็นแบรนด์ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว
อันดับ 6: Honda (คาดการณ์ยอดจอง 350+ คัน)
Honda ยังคงเป็นแบรนด์ยอดนิยมในตลาดรถยนต์นั่งและ SUV ขนาดเล็ก การเปิดตัว Honda Civic e:HEV โฉมใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดที่ล้ำสมัย และ Honda CR-V e:HEV ที่โดดเด่นด้วยความกว้างขวางและฟังก์ชันการใช้งาน สร้างกระแสตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและมีสมรรถนะที่ดี
นอกจากนี้ Honda HR-V e:HEV ที่ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์สปอร์ตและเทคโนโลยีไฮบริดที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ก็ยังคงทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาการส่งมอบรถยนต์บางรุ่นที่อาจล่าช้าจากสถานการณ์การขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังคงส่งผลกระทบอยู่บ้าง อาจเป็นความท้าทายที่ Honda ต้องเผชิญ
อันดับ 7: GWM (Great Wall Motor) (คาดการณ์ยอดจอง 300+ คัน)
GWM ยังคงเดินหน้าสร้างแบรนด์ในตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง ORA Good Cat ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์และฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย แม้ราคาอาจสูงกว่าคู่แข่งบางราย แต่ด้วยจุดเด่นด้านดีไซน์และเทคโนโลยี ทำให้ยังคงมีฐานลูกค้าที่ชื่นชอบ
ในกลุ่มรถยนต์ SUV อย่าง Haval H6 และ Haval Jolion ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะและระบบความปลอดภัยครบครัน GWM ยังคงเน้นการพัฒนา Ecosystem สำหรับผู้ใช้ EV โดยเฉพาะ การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จและบริการหลังการขายที่ดีขึ้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในอนาคต
สีรถยนต์ยอดนิยมแห่งปี 2025: ความคลาสสิกที่ยังคงอยู่และสีสันแห่งอนาคต
จากประสบการณ์ของผม สีรถยนต์ยอดนิยมยังคงวนเวียนอยู่ในโทน Greyscale (สีเทา, ดำ, ขาว) มาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มนี้ยังคงแข็งแกร่งในปี 2025 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ไม่ใช่แค่ความชอบส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึงมูลค่าการขายต่อที่คงที่กว่า การจัดการสต็อกรถยนต์ของผู้ผลิต และความต้องการของกลุ่มลูกค้านิติบุคคล (Fleet Sales) ที่มักเลือกสีที่ดูเป็นทางการและรักษามูลค่า อย่างไรก็ตาม เทรนด์ที่น่าสนใจในปีนี้คือการที่ค่ายรถเริ่มนำเสนอสีสันที่โดดเด่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น สีโทนธรรมชาติ (เขียว, ฟ้าคราม) หรือสีที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน
จากข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์ในตลาดสำคัญอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี 2025 พบว่า:
สีเทา: ยังคงครองแชมป์ด้วยสัดส่วนกว่า 26% สีเทาให้ความรู้สึกทันสมัย ดูแลรักษาง่าย และเข้ากับดีไซน์รถยนต์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
สีดำ: ตามมาเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วนราว 20% สีดำสะท้อนความหรูหรา ดุดัน และความคลาสสิกที่ไม่เคยตกยุค
สีขาว: อยู่ในอันดับสามที่ประมาณ 17% สีขาวให้ความรู้สึกสะอาดตา ปลอดภัย และยังคงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
สีน้ำเงิน: ราว 15% สีน้ำเงินเข้มและน้ำเงินเมทัลลิกยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมและรถสปอร์ต
สีเขียว: โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สัดส่วนประมาณ 3-4% สะท้อนเทรนด์ความยั่งยืนและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ สีเขียวเข้ม (Forest Green) และเขียวมรกต (Emerald Green) กำลังเป็นที่จับตา
สีเงิน/บรอนซ์: ราว 5% ยังคงเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเรียบหรูและดูแลง่าย
สีแดง/ส้ม/เหลือง: สีสดใสเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 5% เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความโดดเด่นและแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง
จะเห็นได้ว่า แม้สีพื้นฐานยังครองตลาด แต่สีโทนธรรมชาติและสีที่สะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและรถสปอร์ต
รถยนต์ขายดีที่สุดในตลาดโลกปี 2025: การเร่งตัวของ EV และ Hybrids
ตลาดรถยนต์ทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัญหา Supply Chain และความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นปีที่รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากข้อมูลยอดขายช่วงต้นปี 2025 ในตลาดหลัก ๆ ทั่วโลก สามารถสรุปแนวโน้มสำคัญและรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้ดังนี้:
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด: สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมกันทะลุ 20% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในหลายประเทศ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยอดขายรถยนต์ดีเซลลดลงต่อเนื่อง: ความนิยมของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือสัดส่วนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในหลายตลาดใหญ่ เนื่องจากความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและเทรนด์การใช้พลังงานสะอาด
SUV และ Crossover ยังคงครองใจ: รถยนต์กลุ่ม SUV และ Crossover ยังคงเป็นรูปแบบตัวถังที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง และความรู้สึกในการขับขี่ที่มั่นคง
10 อันดับรถยนต์ขายดีที่สุดในตลาดโลก (อ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดและแนวโน้ม 2025):
Tesla Model Y: ยังคงเป็นผู้นำตลาด EV ด้วยยอดขายที่แข็งแกร่งจากประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและเครือข่าย Supercharger ที่ครอบคลุม
BYD Song Plus EV/PHEV: รถยนต์ SUV จากจีนที่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery และราคาที่แข่งขันได้ ทำให้ BYD ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกอย่างรวดเร็ว
Toyota RAV4 HEV/PHEV: SUV ไฮบริดที่ยังคงได้รับความไว้วางใจจากความน่าเชื่อถือ ความประหยัด และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม
Hyundai Tucson HEV/ICE: ด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัย เทคโนโลยีที่ครบครัน และทางเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลาย ทำให้ Tucson ยังคงเป็นหนึ่งในรถ SUV ที่ขายดีที่สุด
Kia Sportage HEV/ICE: คู่แข่งสำคัญของ Tucson ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบภายในที่พรีเมียมและระบบขับเคลื่อนที่น่าประทับใจ
Honda CR-V HEV/ICE: SUV ยอดนิยมที่ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดีไซน์ เทคโนโลยี และประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน
Volkswagen ID.4: รถยนต์ไฟฟ้า SUV จากเยอรมนีที่เน้นความกว้างขวาง เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย และประสบการณ์ขับขี่ที่นุ่มนวล
Ford F-150 / F-150 Lightning (EV): กระบะ Full-Size ยอดนิยมในอเมริกาเหนือ ที่เริ่มมีรุ่น EV เข้ามาเสริมทัพ สร้างยอดขายที่แข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
Wuling Hongguang Mini EV: รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กราคาประหยัดที่ยังคงทำยอดขายมหาศาลในจีน และเริ่มขยายตลาดสู่ประเทศอื่นๆ
Toyota Corolla HEV/ICE: รถยนต์ซีดานและแฮทช์แบ็กที่ยังคงเป็นตัวเลือกที่เชื่อถือได้ ด้วยความประหยัด ความทนทาน และเทคโนโลยีไฮบริดที่เข้าถึงได้
Subaru BRZ: สปอร์ตคูเป้แห่งยุคที่ยังคงสร้างความประทับใจ
สำหรับผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจและสัมผัสของรถสปอร์ตแบบดั้งเดิม Subaru BRZ เจเนอเรชั่นใหม่ยังคงเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตคูเป้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในปี 2025 BRZ ยังคงกวาดรางวัลและคำชมจากสื่อยานยนต์ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยปรัชญาการออกแบบที่เน้นความสมดุล เครื่องยนต์ Boxer ที่วางต่ำเพื่อจุดศูนย์ถ่วงที่ดี และระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่บริสุทธิ์และสนุกสนาน
BRZ โดดเด่นด้วยการออกแบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร Naturally Aspirated ที่ให้กำลังและแรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไปจนถึงโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรงขึ้น และดีไซน์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ การผสานรวมเทคโนโลยีที่พัฒนามากว่าทศวรรษจากวิศวกรรมมอเตอร์สปอร์ตของซูบารุ ทำให้ BRZ ไม่ได้เป็นเพียงรถที่เร็ว แต่เป็นรถที่มอบความรู้สึกในการควบคุมที่เหนือชั้น
ในช่วงต้นปี 2025 All-New Subaru BRZ ยังคงได้รับการโหวตให้เป็น “สุดยอดสปอร์ตคูเป้ยอดนิยมแห่งปี” และติดอันดับ “10 รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี” จากหลายสถาบันชั้นนำ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ยั่งยืนของรถสปอร์ตที่เน้นความบริสุทธิ์ในการขับขี่ และเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาดที่เต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด
จัดอันดับ SubCompact Crossover ที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในปี 2025: เติมเต็มความคุ้มค่าท่ามกลางราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูง
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ปัญหาราคาพลังงานเชื้อเพลิงที่ยังคงผันผวนและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รถยนต์ SubCompact Crossover ที่มีขนาดกะทัดรัด ประหยัดน้ำมัน และตอบโจทย์การใช้งานในเมือง ยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นที่มีเทคโนโลยีไฮบริดเข้ามาเสริมทัพ
จากการทดสอบตามมาตรฐานของเราที่ความเร็วเฉลี่ย 110 กม./ชม. น้ำหนักบรรทุกรวม 170 กก. และเปิดเครื่องปรับอากาศ รถยนต์ SubCompact Crossover ที่โดดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมันในปี 2025 มีดังนี้ (เน้นรุ่นไฮบริดเป็นหลัก):
Toyota C-HR HEV (ล้อ 17 นิ้ว): ยังคงครองแชมป์ด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่เหนือกว่า ด้วยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Hybrid (Atkinson Cycle) และการออกแบบที่เน้นอากาศพลศาสตร์ ทำให้ C-HR HEV ทำตัวเลขได้ที่ 20.5 กม./ลิตร โดยประมาณ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความประหยัดสูงสุดในดีไซน์ที่โดดเด่น
Toyota Corolla Cross HEV: ด้วยระบบ Hybrid 1.8 ลิตรเดียวกัน แต่มาในแพ็กเกจ SUV ที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ยังคงทำได้ดีเยี่ยมที่ประมาณ 19.8 กม./ลิตร มอบความประหยัดพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางกว่า
Honda HR-V e:HEV: ระบบ e:HEV ของ Honda ที่ผสานเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson Cycle กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 131 แรงม้า มอบอัตราสิ้นเปลืองที่น่าประทับใจที่ประมาณ 18.7 กม./ลิตร ด้วยดีไซน์สปอร์ตและเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda Sensing ที่ครบครัน
Nissan Kicks e-POWER: ระบบ e-POWER ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% โดยมีเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ทำหน้าที่ปั่นไฟ ทำให้ Kicks e-POWER ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ประมาณ 17.8 กม./ลิตร มอบประสบการณ์ขับขี่คล้าย EV แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ
Hyundai Creta 1.5 iVT: ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน Smart Stream 1.5 ลิตร และเกียร์ IVT (Intelligent Variable Transmission) Creta ให้ความประหยัดที่ประมาณ 16.8 กม./ลิตร เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ดีไซน์ทันสมัยและฟังก์ชันครบครันในราคาที่คุ้มค่า
Toyota Corolla Cross 1.8 Sport (เครื่องยนต์เบนซิน): รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Dual VVT-i ให้ความประหยัดที่ประมาณ 16.5 กม./ลิตร ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการระบบไฮบริด
Subaru Crosstrek e-Boxer (เดิมคือ XV): รุ่น e-Boxer ที่ผสานเครื่องยนต์ Boxer 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบสมรรถนะและการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม พร้อมอัตราสิ้นเปลืองที่ประมาณ 15.8 กม./ลิตร (สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ)
Mazda CX-30 2.0 SP 6AT: ด้วยเครื่องยนต์ Skyactiv-G 2.0 ลิตร ที่เน้นประสิทธิภาพการเผาไหม้สูง CX-30 ให้ความประหยัดที่ประมาณ 15.0 กม./ลิตร มาพร้อมดีไซน์พรีเมียมและช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม
Mazda CX-3 2.0 SP 6AT: รุ่นเล็กกว่าของ Mazda ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเดียวกัน ให้ความประหยัดที่ประมาณ 14.9 กม./ลิตร โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่คล่องตัวและสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน
MG ZS (เครื่องยนต์เบนซิน): แม้ MG จะเด่นเรื่อง EV แต่รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ก็ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและให้ความประหยัดที่ประมาณ 14.5 กม./ลิตร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟังก์ชันครบในราคาที่จับต้องได้

